วันอาทิตย์ที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เทคนิคสัมภาษณ์งานสำหรับจป.จบใหม่


ภาพ : www.top10for.com

เทคนิคเหล่านี้ผมเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์ และการทีได้พูดคุยสัมผัสกับหลายคนที่สัมภาษณ์งาน (Interview) ในตำแหน่งนี้ ลองไปอ่านกันดูนะครับ

สุภาษิตนี้ยังคงใช้ได้หลายยุค หลายสมัย รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ในตำราพิชัยสงครามของซุนวู

น้องๆทราบมั้ยครับว่าเรา คือ Generation อะไร และ คนที่สัมภาษณ์เราเป็น Generation ใด เป็น Generation B หรือ X หรือ Y ด้วยกันก็ได้ แล้วแต่ละ Generation มีนิสัยเป็นอย่างไร

เราเป็นเด็กที่เกิด และเสพในยุคของ Technology I-phone, Black Berry, Android หลากหลายเทคโนโลยี และวัฒนธรรมสังคม ตลอดจนการเลี้ยงดูของครอบครัวแตกต่างกันไปจากอดีต เราถูกการตั้งเป้าหมายมาจากพ่อแม่ สมัยใหม่ที่มีความรู้มากขึ้น และวางแผนให้เรามาตลอด เราคือ Generation Y ครับ ดังนั้นเรามีดีแน่นอน แต่สิ่งเหล่านี่ทำให้เราลืมไปว่า บุคลิกภาพ ความคิด ของเรานั้น เป็นที่พึงพอใจ ของนายจ้างหรือไม่ เพราะ Generation Y จะมี ไอเดียล้ำลึก ไปไกล ชอบออกนอกกรอบ หลากหลาย ภาษาสมัยใหม่ มั่นใจ อะไรก็ต้องไว กล้าแสดงออก เรียกเงินเดือนสูง (ก็เก่งนี่หน่า) อยากสำเร็จตามเป้าหมายโดยเร็ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่ไม่เคยสังเกตเลยว่าคนสัมภาษณ์เรานั้นเขาเป็น Generation ไหน พี่ๆเขารับความเป็นเราได้หรือไม่ เข้าใจภาษาที่เราพูดหรือไม่
โดยปกติแล้ว Genration B จะเป็นคนตั้งกรอบ กติกา ต้องการคนปฏิบัติตามกรอบตามกติกาที่เขาตั้งไว้ และยึดหลักขนบธรรมเนียมเป็นหลัก ส่วน Generation X ก็จะอีกแบบหนึ่ง คือ มีความคิดในการที่จะประยุกต์ ค่อยๆแก้ไขกรอบที่ Generation B วางไว้ ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ออกนอกกรอบอย่างดุดัน และยอมรับกับไอเดียใหม่ๆได้ แนะนำให้ไปหาซื้ออ่านได้ครับที่ร้าน SE-ED ครับ เรื่อง “Generation Y ร้ายจริงหรือ โดย เภสัชกรลือรัตน์ จะทำให้ รู้ว่า Generation Y อย่างเรารู้ต้องทำอย่างไร และพี่ๆ Generation B และ X ต้องการอะไรจากเราเช่นกัน จะได้เตรียมรบได้ตามที่ ซุนวูได้กล่าวไว้
เริ่มเลยดีกว่า แหล่งหางานของพวกเรา Generation Y หนีไม่พ้นบน Internet แน่นอน
1. เข้า website หางาน เช่น jobsdb.com/th หรือ nationejobs หรือ Jobtopgun หรือ ประหยัดหน่อยก็ไปเปิดตามร้านหนังสือ เปิดหนังสือพิมพ์ และจำบริษัทที่เราสนใจไว้ แล้วไป search ใน Internet พวกเรา Generation Y ไม่ยอมเสียเงินง่ายๆแน่ นิยมของฟรี
2. พิมพ์ลงไปในช่อง Search ว่า “Safety, HSE, EHS, SHE, จป, เจ้าหน้าที่ความปลอดภัย ก็จะเจอเยอะแยะไปหมด เพราะหลายคนรู้แค่คำว่า safety officer คำเดียว
3. Click ไปที่ ตำแหน่งที่เหมาะกับเรา จากนั้นเปิดบน แท็บ ใหม่ให้หมด (รูปด้านล่าง) แต่ถ้าเป็น supervisor หรือ manager ไม่ต้องไปคลิ๊กนะครับเขาไม่รับคนไม่มีประสบการณ์แน่นอน (แนะนำให้สมัครกับบริษัทที่ลงประกาศเป็นภาษาอังกฤษนะครับ เพราะระบบค่อนข้างดี ทำงานคล่องตัวครับ)
4. ทำการ Click ไปที่ตำแหน่ง level ธรรมดา คือ ลงท้ายด้วย “Officer”และเปิดอ่านให้หมดเป็นหลายๆแท็บ เปรียบเทียบ เพื่อดูความต้องการของตลาด เขาต้องการอะไร
ภาพตัวอย่างเวปไซด์หางาน
ผมได้ทำการคัดคุณสมบัติหลักๆ (Qualifications) เฉพาะตำแหน่ง Safety officer ระดับธรรมดาที่นายจ้างได้กำหนดคุณสมบัติที่ต้องการไว้ดังนี้
ภาษาอังกฤษ
· Fluent in English
· Good command of written, spoken English language
· Good command in English
· Good command of English & Thai communication and computer literacy.
การพัฒนาปรับปรุงและ การประสานงาน
· Develop and implement EHS programs consistent with company EHS management system and all related local/national regulations and EHS requirements to ensure site security.
· Coordinated development of future planned safety &health programs
· Communicate with supply chain, production, R&D, material supplier, product stewardship, sales, IT related to EHS activities & requirements.
· Participate onsite facility surveys to determine needs safety improvements
ทัศนคติ บุคลิกภาพ การวางตัว
· Positive interaction with vendors, contractors, employees including management in order to enact facility safety goals and programs
· Service-minded with pleasant personality to initiate new relationships
· Professional in appearance & behavior
การอภิปราย บรรยาย นำเสนอผลงาน (ถ้าบรรยายภาษาอังกฤษได้ยิ่งดีใหญ่)
· Vertical and horizontal communication skill
· Safety training and evaluate training needs.
· Inspiring and energetic presenter

จากที่เห็นทั้งหมด สรุปได้ว่าสิ่งที่นายจ้างคาดหวังหลักๆ คือ เรื่องของ ภาษาอังกฤษ, การพัฒนาปรับปรุงและ การประสานงาน, ทัศนคติ บุคลิกภาพ การวางตัว และ การอภิปราย บรรยาย ชี้แจงผลงาน (ทั้งไทย และภาษาอังกฤษ)” การได้งานส่วนใหญ่คนได้ภาษาอังกฤษก็มีเปอร์เซ็นต์ได้งานสูงกว่า
ข้อกำหนดเหล่านี้แทบจะไม่มีในหลักสูตรการเรียนเลยในการตอบคำถามให้ตรงใจ นายจ้างหรือผู้ให้สัมภาษณ์ ดังนั้นเราควรจะเตรียมตัวให้พร้อม ตามคำแนะนำต่อไปนี้
· รู้ว่าผู้สัมภาษณ์ต้องการอะไร จะตอบอย่างไรให้ตรงใจ และน่าเชื่อถือมากที่สุด และกระตือรือร้นที่อยากจะได้งาน แต่อย่ามากเกิน
· รู้ข้อมูลบริษัทอย่างละเอียด กระบวนการผลิต, การจัดการบริหารจัดการ, โดยเฉพาะวัฒนธรรมองค์กร และงานที่เขาจะมอบหมายให้เราทำ
· อันนี้เรื่องใหญ่หาข้อมูลมาให้ได้ด้วยว่าฐานเงินเดือนที่เขาตั้งไว้ให้ได้เท่าไร ไป search ใน google ได้อาจมีครับ อาจหาตำแหน่งวิศวกรก็ได้ ส่วนใหญ่ Safety จะมีเงินเดือนน้อยกว่า วิศวกรประมาณ 15-20 เปอร์เซ็นต์
· หาข้อมูลของผู้ที่สัมภาษณ์ว่าเป็นคนอย่างไร เขาต้องการอะไรโดย ถามเพื่อน รุ่นพี่ คนรู้จักทีทำงานในนั้น หรือถ้าไม่มีจริงๆก็ลองหาใน google พิมพ์ว่า ใครเคยสัมภาษณ์ที่บริษัท… “ มักจะไปเจอใน Pantip ครับ
· ให้ไวก็ถามพี่ๆ คนรู้จักที่ทำงานเกี่ยวกับการจัดหางาน หรือ Recruitment ถึงเทคนิค สุดยอดวิธีคิด คือถามผู้รู้ครับ ไม่ต้องคิด
· เตรียมการแนะนำตัว หรือ Present เป็นภาษาอังกฤษให้คล่องแคล่ว สำเนียงให้งาม ออกเสียงให้ชัด (Pronunciation), เสียงสูงต่ำเป็นจังหวะ (Intonation), ศัพท์สวยๆ (vocabulary) และ ไวยกรณ์เป๊ะๆ (Grammar) อย่ากลัว อย่าอาย ถ้ากลัวและอาย อดแน่นอน ไปซ้อมได้ที่ Youtube พิมพ์ Job Interview introduce yourself” ครับ

ภาพ : www.beegees82.tistory.com

คำแนะนำในวันสัมภาษณ์
· เตรียมตัวให้พร้อม นอนให้ไว หลับให้สนิท
· แต่งกายให้สุภาพ สีเสื้อที่สบายตาช่วยให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกผ่อนคลายเวลาสัมภาษณ์เรา เช่น สีฟ้าอ่อน ส่วนสีเทาไม่ค่อยดีเท่าไรเพราะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกหมองๆ ไม่สดชื่น
· หวีผมจัดแต่งทรงให้เรียบร้อย
· ดับกลิ่นตัวหมดจด
· ต้องไปก่อนเวลาอย่าน้อย 30 นาที
· ขณะสัมภาษณ์ต้องมีสติตลอดเวลา อย่าตื่นตระหนก
· ตั้งใจฟังคำถามให้ดี
· อย่าโกหก
· ยิ้มเล็กน้อย เวลาที่ฟัง และตอบคำถาม
· อย่าหยิ่งผยอง ไม่มีใครต้องการคนแบบนี้เขามาสร้างปัญหาให้องค์กรครับ
· อย่ากังวลว่าเกรดเฉลี่ยน้อยไม่ต้องกลัวครับ หลายที่ไม่ต้องการคนเก่งงาน แต่ว่าต้องการคนเก่งเรื่องคน และเขากับวัฒนธรรมองค์กรของเขาได้ครับ ปัจจุบัน EQ และทัศนคติที่ดีสำคัญกว่า งานเรียนรู้กันได้ และวิชาการตามกันทัน (ประสบการณ์ตรง คนที่ได้เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ประสบการณ์ใกล้เคียงกัน สัมภาษณ์ที่เดียวกับผมขอเงินเดือนพอกัน แต่ผมได้งานครับ เพราะเราวางแผนมาดีกว่า ทั้งที่เราได้เกรดสู้เขาไม่ได้เลย)
· จำไว้เสมอว่า เขารับเรามาแก้ปัญหานะครับ เราต้องแสดงให้เขามั่นใจว่าถ้ารับเราแล้วเราแก้ได้ แต่ไม่ได้ไปสร้างปัญหาให้เขาซะเอง
· อย่าลืมถามอนาคตความก้าวหน้าอาชีพของตัวเองด้วยว่าอนาคตจะเป็นอย่างไรกับที่นี่ และดูสิว่านายเราเก่งมั้ย ฉลาดมั้ย มีกึ๋นหรือเปล่า มีอะไรที่สามารถเรียนรู้ได้ สอนเราได้บ้าง แต่ถ้าดูแล้วไม่ดี ไม่มีอนาคตปฏิเสธงานนี้ได้เลยครับ ไม่ได้มีผลดีต่อเรานักครับ
ภาพ : www.taringa.net

คำถามแปลกๆทีอาจจะเจอ
· คุณขอเงินเดือนมาขนาดนี้ ยกตัวอย่าง 18,000 บาท คุณจะทำอย่างไรให้เราได้กำไรมามากว่า 18,000 บาทที่เราลงทุนจ้างคุณไป?
· คุณเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ในการตั้งเงินเดือนของคุณ คุณมีดีอะไร?
· ถ้านายจ้างไม่สนับสนุนไม่ร่วมมือกับคุณแล้วคุณจะทำอย่างไร?
· ข้างในโรงงานน่ะ ดื้อๆ นักเลงทั้งนั้นคุณจะอยู่ได้เหรอ อายุงานเก๋าๆทั้งนั้น?
· คุณมีดีอะไรกว่าเพื่อนๆคุณที่จบมาเหมือนๆกัน
· ใครเป็นบุคคลต้นแบบของคุณ เขามีดีอะไร ? (อยากดูหน้าที่การงานในอนาคตของคุณ)
· เพื่อนสนิทของคุณนิสัยมันเป็นยังไงบ้าง? (อยากทราบว่าคุณเป็นยังไง)
· ถ้าพนักงานไม่ปฏิบัติตามที่คุณแนะนำคุณจะทำอย่างไร?
ท้ายที่สุดแล้ว การสัมภาษณ์งานการเตรียมตัวที่ดีที่สุดนอกเหนือจากจากที่เขียนไว้แล้วก็คือ ต้องเตรียมรูปแบบการตอบในแต่สถานการณ์ที่เหนือความคาดหมาย หรือปรับเปลี่ยนตนเองได้ตามสถานการณ์ (dynamic situation)” และอย่าโอเว่อร์จนเกินไป จนสูญเสียความเป็นตัวของตัวเองครับ การไปสัมภาษณ์งานควรไปสัมภาษณ์กับบริษัทที่เราอยากได้จริงๆ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาทั้งสองฝ่ายครับ แต่ถ้าต้องการเก็บประสบการณ์ก็เป็นอีกวิธีที่ดีครับ สัมภาษณ์มากประสบการณ์มาก
คิดซะว่าการสัมภาษณ์งานก็คล้ายๆกับเราไปจีบสาวนะครับ คิดเอาเองตามประสบการณ์ของแต่ละคน จีบยังไงจีบให้ติด มีเงื่อนไขอะไรบ้าง เตรียมตัวอย่างไร
 ภาพ : www.iam.hunsa.com


แถมเพิ่มเติม
5 secrets of Job interview
โชคดีครับ ขอให้ได้งานดีๆทำทุกคนครับ

ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์ อยากรับข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมรบกวนคลิ๊ก "like" ให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ
Source : www.pramoteo.com

วันพุธที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2553

ลูกน้อยอาจหูหนวกได้...ถ้าไม่ป้องกัน



ภาพ : www.108plus.com

หลายคนไม่ทราบว่าการรับรู้การได้ยินของเด็กนั้นไวมาก เราสามารถสังเกตได้จาก การที่เขาสะดุ้ง หรือตื่นขึ้นมา หันควับไปทางใดทางหนึ่ง อันนี้เกี่ยวกับแม่ซื้อหรือเปล่า ผมไม่มั่นใจนัก เรื่องราวของแม่ซื้อสามารถดูได้ที่ "ตำนานลึกลับแม่ซื้อ"
ในทางการแพทย์นั้นได้กล่าวไว้เกี่ยวกับพัฒนาการของเด็กในการรับรู้การได้ยินเป็นดังนี้ครับ

พัฒนาการของเด็กต่อการได้ยิน
  • 0-4 เดือน : สะดุ้งทันที ที่ได้ยินเสียงดัง
  • 3-6 เดือน : สามารถหันไปตามทิศทางของเสียงได้ รู้ชื่อตัวเอง ยิ้ม ร้องไห้ เมื่อได้ยินเสียงดุ เสียง
  • 6-10 เดือน : เริ่มตั้งใจฟังเวลามีคนคุยด้วย และขยับไปยังแหล่งกำเนิดเสียงได้ เช่น ประตู สุนัข เห่า
  • 10-15 เดือน : เริ่มพูดอ้อแอ้ได้ เรียบเรียงคำพูดได้บ้าง
  • 15-18 เดือน : เริ่มเข้าใจประโยคง่ายๆ เช่น ไม่ อย่า บ๊าบ บาย และเข้าใจศัพท์อื่นๆ ประมาณ 20 คำ

ถ้าไม่สามารถตอบสนองตามที่ระบุไว้อาจมีความเสี่ยงเรื่องของการสูญเสียการได้ยินได้ควรรีบไปพบแพทย์

ภาพ : www.108plus.com  
วง Spice girl และครอบครัว พร้อมอุปกรณ์ป้องกัน

สาเหตุของการสูญเสียการได้ยินของเด็ก

ภาวะที่อยู่ในครรภ์มารดาก็อาจมีความเสี่ยงได้ เช่น การติดเชื้อไข้หัดเยอรมัน เชื้อหวัด การขาดออกซิเจนในครรภ์ และสภาวะความผิดปกติของยีน
ในประเทศสหรัฐอเมริกา 1.3 ล้านคนของเด็กอายุน้อยกว่า 3 ปี เป็นโรคเสื่อมสมรรถภาพในการได้ยิน อันมีสาเหตุจากการติดเชื้อในหูในระยะ 3 เดือนแรก สมองบวม การได้รับยา antibiotic ผ่านกระแสเลือด และยังสามารถสังเกตได้จากการไม่สะดุ้ง ไม่ตื่น เมื่อได้ยินเสียงดัง

นอกจากนี้ยังเกิดจากการไม่เอาใจใส่ของผู้ปกครอง เช่น นำไปด้วยในสถานที่ก่อสร้าง โรงงาน ไปดูรถแข่งไปชมดนตรี ร้านอาหารที่เสียงดัง ฟู้ดคอร์ท ตลาด ซุปเปอร์มาเกต แม้กระทั้งการเปิดเพลงเสียงดังในรถ และ การเลือกของเล่นที่มีเสียงดังเกินไปสำหรับเด็ก (82-85 เดซิเบล) ซึ่งสำหรับเด็กแล้วไม่ควรได้ยินเกิน 1 ช.ม.ต่อวัน เช่น ปืน รถแข่ง รถเข็นที่มีเสียงเพลง และ ขณะหัดเดิน เป็นต้น




ภาพ : www.earplugstore.com

วิธีการป้องกัน
  • คุณสามีต้องดูแล ภรรยาดีๆ อย่าให้ติดเชื้อดังกล่าวขณะตั้งครรภ์
  • หลีกเลี่ยงการนำเด็กไปในพื้นที่มีมีเสียงดัง และอย่าให้เล่นของเล่นที่มีเสียงดังเกินไปนานๆ
  • สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเีสียงดัง อุปกรณ์ลดเสียงสำหรับเด็ก (kid earmuff)
  • คอยหมั่นดูแล และสังเกตพฤติกรรมของลูกน้อยสม่ำเสมอ

แหล่ง
http://www.esafetythailand.com
http://www.babaycenter.com
http://www.babyhearing>org
http://www.entnet.org

วันเสาร์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เที่ยวงาน Metalex 2010



ภาพ: บรรยากาศการลงทะเบียน

พอดีมีนัีดทานข้าวกับเพื่อนเกาหลีที่อมตะนครก็เลยแวะไปงาน Metalex ซักหน่อย ดูภาพบรรยากาศกันเลยดีกว่าครับ ในงานเจอคนต่างชาติเยอะมาก เจ้าหน้าที่ก็ขอนามบัตรเพื่อไปลงทะเบียนให้แต่ถ้าไม่มีนามบัตรก็ต้องไปกรอกเอกสารเองครับ ผมก็ให้นามบัตรวิทยากรผมไปเจ้าหน้าที่ก็งงๆ เพราะไม่มีชื่อบริษัท ก็ผมไม่มีบริษัทนี่นา



ภาพ: บริษัทจากประเทศสิงคโปร์ และเกาหลี


ผมประทับใจมากกับงานเชื่อมเป็นเรือที่มีความสวยงามมากขนาดนี้กับงานโลหะที่บ่งบอกถึงความปราณีต และตั้งใจสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมา


ภาพ : บรรยากาศแต่ละบู้ท


เจอของหนักๆมาเยอะแล้วพักสายตากันนิดนึง เพื่อจะได้หายเมื่อย กันบ้างครับ ซึ่งหลายๆบู้ทก็มีเจ้าหน้าที่สวยๆ น่ารักยืนประจำที่บู้ทกันเต็มไปหมด เหมือนมางาน Motor show ยังไงไม่รู้



และแล้วก็เดินมาถึงบู้ทของ 3M ประเทศไทย ซึ่งไม่ได้ออกบู้ทเกี่ยวกับเครื่องจักรขนาดใหญ่ แต่ในการทำงานก็ขาดเสียไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัย อาชีวอนามัย และเครื่องมือที่มีความปลอดภัยในการทำงาน



ภาพ : อุปกรณ์ความปลอดภัยในงายเชื่อม และ อุปกรณ์งานขัด



แต่มีสิ่งหนึ่งสะดุดตามากผมมาก็ คือ เจ้าหน้ากากงานเชื่อม PS100 ซึ่งมีรูปแบบที่สวยงามโดนใจมาก เขาว่าเป็นหน้ากากงานเชื่อมราคาประหยัด แต่คุณภาพดีมาก หน้าจอขนาดใหญ่ เลนส์ทำจากโพลีคาร์บอเนต และยังได้การรับรองมาตรฐานของยุโรปด้วย ตลอดจนสามารถช่วยระบายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เกิดจากการหายใจออกของเราได้ด้วย

ภาพ : หน้ากากงานเชื่อม PS 100

วันนี้คงจบเท่านี้นะครับ พบกัยใหม่ใน Metalex 2011

ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์ อยากรับข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมรบกวนคลิ๊ก "like" ให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.esafetythailand.com

www.pramoteo.com

วันศุกร์ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2553

เทคโนโลยีใหม่เพื่อการทำงานอย่างปลอดภัย 3M



เมื่อวานนี้ผมไปร่วมงานสัมมนา "เทคโนโลยีใหม่เพื่อการทำงานอย่างปลอดภัย" ของบริษัท 3M ประเทศไทย จำกัด โดยผู้บรรยาย คือ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านของ 3M ทั้งในและต่างประเทศ หัวข้อในการบรรยายเป็นการให้ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่

1. E-A-Rfit validation
2. Active Hearing conservation
3. P & SAR (Power and Supplied-Air respirator)
4. PortaCount



ภาพบรรยากาศงานลงทะเบียน


งานจัดที่โรงแรม Miracle Grand และจัดได้อลังการมากๆ พร้อมด้วยพิตตี้ต้อนรับ มากมาย เนื้อหาค่อนข้างเยอะสำหรับวันนี้ผมขอบรรยายเป็นภาพรวมแล้วกันนะครับ ส่วน 4 หัวข้อที่เหลือจะสรุปลงลึกให้อ่านกันในครั้งหน้า



วิธีการทดสอบ E-A-Rfit validation


E-A-Rfit validation

เทคโนโลยีล่าสุด เพื่อตรวจวัดค่าการลดเสียงส่วนบุคคลในการสวมใส่ปลั๊กลดเสียง (PAR= Personal Attenuation Rating) และยังสามารถเก็บข้อมูลของแต่ละบุคคลได้ ซึ่งช่วยในการเฝ้าระวังการได้รับอันตรายจากเสียงดังของกลุ่มเสี่ยง, ช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดทำโครงการอนุรักษ์การได้ยิน โดย E-A-Rfit Validation system




อุปกรณ์ลดเสียงชนิดสื่อสารได้


Active Hearing conservation

เป็นอุปกรณ์ลดเสียงดัง และสามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อขจัดปัญหาและของอุปสรรคในการสื่อสาร อันเนื่องมาจากการสวมใส่ครอบหูลดเสียง หรือปลั๊กลดเสียง โดยอุปกรณ์ประกอบด้วยเทคโนโลยีทั้งชนิดที่มีสายเพื่อประกอบเข้ากับวิทยุสื่อสาร และไร้สาย หรือ Bluetooth มากไปกว่านั้นยังมีเทคโนโลยีเพิ่มเติมในการฟัง MP3, FM/AM, level-dependent ในการป้องกันเสียงกระแทกหรือ Impulse noise, radio communication build-in ที่สามารถสื่อสารได้ไกลถึง 2 กิโลเมตร และอุปกรณ์ชนิด ATEX ในการป้องกันการระเบิด สำหรับอุตสาหกรรม Oil and Gas เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้เกิดความเพลิดเพลินในการทำงาน ปลอดภัย และสื่อสารได้ นับว่าเป็นนวัตกรรมที่เป็นประโยชน์มากครับ



Mr.Albert Khoo กำลังบรรยายเกี่ยวกับ P&SAR


P&SAR (Power and Supplied-Air respirator)

อุปกรณ์ปกป้องระบบทางเดินหายใจชนิดในพลังงานแบตเตอรี่ และสายส่งผ่านอากาศ เป็นเทคโนโลยีที่อาศัยหลักการของ Positive pressure คือ การส่งผ่านอากาศเข้าไปยัง Headgear (ที่คลุมศีรษะ) เพื่อผ่านไปยังระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นสารปนเปื้อนในบรรยากาศจะไม่สามารถเข้าไปสู่ระบบทางเดินหายใจได้ ซึ่งมีค่าระดับการป้องกันตั้งแต่ 25 เท่าจนถึง 1000 เท่าของค่า TLV ของสารอันตรายนั้นๆ ประสิทธิภาพในการป้องกันขึ้นอยู่กับชนิดของ Headgear ที่เลือกใช้งาน ปัจจุบันได้มีการพัฒนาหลักการปรับแต่งในการใช้งานได้ง่าย สะดวก และปลอดภัยมากขึ้นกว่าเดิม



อุปกรณ์สำหรับทำ Quantitative fit test

PortaCount (Quantitative fit test)

เป็นเทคโนโลยีในการตรวจวัดความกระชับของหน้ากากในเชิงปริมาณ (Quantitative) ซึ่งอ่านค่าเป็นเปอร์เซ็น มีข้อดีคือช่วยให้ทราบว่าผู้สวมใส่สวมใส่หน้ากาก สวมใส่ได้กระชับเพียงใด โดยพิจาณาจากค่า APF ของหน้่ากากนั้นๆ (Assign Protection Factor) ยกตัวอย่างเช่นหน้ากากชนิดครึ่งหน้ามีค่า APF = 10 ดังนั้น ค่าที่ได้จากการทดสอบต้องไม่ต่ำกว่า 100% ถ้าต่ำกว่า 100 % ก็หมายความว่า หน้ากากรุ่นนี้ขนาดนี้อาจไม่เหมาะสมกับใบหน้าของผู้สวมใส่ Quantitative Fit test แสดงผลเชิงปริมาณได้อย่างชัดเจนมากกว่าการทำการทดสอบแบบ Qualitative Fit test ที่ทราบเพียงแค่ว่ากระชับหรือไม่กระชับเท่านั้น

ผมชอบ และประทับใจที่ว่า 3M นำสิ่งดีๆที่ช่วย update ความรู้ด้านความปลอดภัยให้กับเราเสมอ และเป็นเรื่องที่น่าสนใจไม่มี หรือหาได้น้อยในตำราเรียน ช่วยให้เราได้ตามทันโลกที่เปลี่ยนไปตลอดเวลาครับ แต่ละหัวข้อย่อยจะทยอยๆ เขียนให้ชัดเจนมากขึ้นนะครับ

คิดเห็นอย่างไร หรือใครไปงานมาแล้วแลกเปลี่ยนความคิดเห็นได้นะครับ

วันอาทิตย์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2553

สรุปเทคนิค Lead Auditor OHSAS 18001



ภาพ : www.jtanzilco.com


ผ่านไปเรียบร้อยกับ การเรียนหลักสูตร 5 วันสำหรับ "Lead Auditor OHSAS 18001 (IRCA)" ที่ Moody ผมว่าค่อนข้างเหนื่อยเหมือนกันกับการเรียนอย่างต่อเนื่อง พร้อมกับการบ้านทุกวัน และการสอบในวันสุดท้าย ส่วนตัวก็ภาวนาให้ผ่านไปด้วยดี และจะได้ดำเนินการเก็บชั่วโมงการเป็น Auditor และ Lead auditor ต่อไป

วิทยากร คือ "อาจารย์ปานเทพ พันธุ์ฟัก" ผู้มากด้วยประสบการณ์และตอบคำถามได้ดี และชัดเจนมากๆ ตลอดจนสรุปความรู้ ข้อเสนอแนะที่ดีในแต่ละ Workshop ให้กับเรา



ภาพ : www.ormston.co.uk

ด้วยความที่ว่าผมก็ไม่เคยมีประสบการณ์เลยในการเป็น Auditor อย่างเป็นทางการมาก่อน แต่อยากจะเรียนรู้ก็เลยไปเรียน ก็ได้พบความลำบากหลายอย่าง แต่สิ่งที่ช่วยผมได้ก็คือความรู้ทางด้้าน Technical and OH&S Knowledge ที่มีและนำมาใช้เยอะจริงๆ คนที่มีประสบการณ์ จป, นักกฎหมายและ ผู้ตรวจประเมิน ค่อนข้างจะได้เปรียบและช่วยในกระบวนการเรียนรู้ได้รวดเร็วขึ้น

สรุปสิ่งที่ได้รับตามความเข้าใจ และเทคนิคที่เรียนรู้มานะครับ
  • OHSAS 18001 คือ ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย และถ้าต้องการข้อมูลเพิ่มเติมต้องไปอ่านเพิ่มใน Guideline 18002
  • ช่วยให้เข้าใจข้อกำหนดของ OHSAS 18001 การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง, เทคนิค และจรรยาบรรณ
  • ช่วยในการวางแผนกิจกรรมความปลอดภัยอย่างเป็นระบบ วิเคราะห์ ประเมิน ทบทวน และ แก้ไข ได้ว่าต้องทำอย่างไร
  • นโยบายควรครอบคลุมสุขภาพ ความปลอดภัยของพนักงานทุกคน ผู้รับเหมา แขก ในสถานที่ทำงาน และแม้กระทั่งนอกเวลางาน ถ้างานนั้นๆ หรือบริการนั้นๆถูกกำกับโดยบริษัท
  • วินัย การตรงต่อเวลาของ Auditor เป็นเรื่องที่ขาดเสียไม่ได้ เพราะการตรวจประเมินแต่ละครั้งมีเวลาจำกัด และยังอาจมีเวลาที่เสียไปจากการพาไปกินข้าวไกลๆ กลับมาสายๆ ตรวจได้น้อยๆ (สำหรับบาง Auditee ที่จัดให้) Auditor ในสมัยก่อนต้องมีการทำงานกลางวันไปด้วยหรือเรียกว่า working lunch
  • Lead auditor ทำงานแทบทุกอย่างตั้งแต่ planning, opening meeting, closing meeting และ Final report เหนื่อยสุดๆเลยครับ
  • การให้ NC หรือ Non-conforming มากๆใช่ว่าจะเป็นสิ่งดีเสมอไป ไม่ใช่ว่าเราเก่ง เราเจ๋ง ต้องรู้จักแยกแยะว่า major, minor, safety หรือ observation และต้องหัดเป็นผู้ฟังที่ดีอย่านึกว่าเราแน่เสมอไป ลดตัวกูของกูลงดีกว่า
  • การแก้ไขสถานะการเฉพาะหน้าเป็นเรื่องจำเป็น บางครั้ง Auditee อาจมี heat ขึ้น หรือต้องการเจรจาต่อรองเพื่อยกเลิก NC นั้นๆ Auditor ควรเข้าใจหลักการและศิลปะในการพูดว่าทำไมถึงเป็น NC เพราะถ้าเราทำไม่ดีแล้วบางทีอาจจะมี Complaint ไปถึงต้นสังกัดของเราได้
  • Auditor ควรมีสุนทรียวาจาที่ดีไม่ทำให้ Auditee เสียหน้าเมื่อพบหลักฐานจากการตรวจประเมินว่าเป็นเท็จ เช่น อาจพูดว่า "คุณทำได้ดีจริงๆเกือบทั้งหมดแต่คุณอาจลืมตรงนี้ไปครับ" หรือ "บางแผนกอาจไม่ได้แจ้งให้คุณรับทราบใช่มั้ยครับ" ซึ่งดีกว่าพูดว่า "ไหนคุณว่าคุณทำนี่ ทำไมมันไม่ไม่มี" หรือ "ยิ้มเยาะ ดูถูก ไม่ให้เกียรติกัน" เป็นมารยาทที่ไม่้ดีครับ ซึ่งสองประโยคนี้ผมเจอกับตัวมาจริงๆสมัยเป็น จป
  • การ Closing meeting ทุกครั้งจำเป็นต้องอธิบายให้ผู้เข้าประชุมทราบข้อสรุปทั้งหมดก่อนที่จะให้มีการสอบถาม หรือโต้แย้งเพราะว่ามันจะยาว และไม่จบซะที
  • การทำ Document review เป็นการตรวจสอบเบื้องต้นก่อนที่จะทำการตรวจประเมินจริง on-site เพื่อดูว่าทุกกิจกรรมได้มีการทำจริงหรือไม่เบื้องต้น
  • Proactive (การป้องกันก่อนเกิด) เช่น Industrial hygiene, physical check-up, internal audit เป็นสิ่งที่ควรทำมากกว่า Reactive (การป้องกันหลังการเกิด) เช่น Incident report, การแก้ปัญหาภายหลังที่ Incident ได้เกิดขึ้นแล้ว
  • ก่อนการตรวจจริงจำเป็นต้องทราบ Culture ของบริษัทที่ให้เราไปตรวจประเมิน รู้จักว่าใครเป็น Guide ให้เรา และทราบด้วยว่าอะไรที่จำเป็นต้องตรวจเพื่อค้นหาหลักฐาน สิ่งที่ช่วยได้เป็นอย่างดี คือ การทำ Checklist จะช่วยให้เราตรวจประเมินได้ตามวัตถุประสงค์ และไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ
  • เทคนิคการตรวจที่ใช้กันมา คือ forward (การตรวจจากต้นไปผล) และ backward (การตรวจากผลมาที่ต้นเหตุ) และยังมีเทคนิคการตรวจแบบ Vertical และ Horizontal ด้วยครับ
  • การตรวจประเมินทุกครั้งถ้าจะใหดีควรมี Technical Expert ในเรื่องนั้นๆไปด้วยจะดีมากๆครับ เช่น safety officer หรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน

ทั้งหมดนี้คือประเด็นหลักๆที่ผมสรุปมาครับจริงๆยังมีอีกเยอะ แต่กลัวว่าจะเบื่ออ่านเสียก่อนไว้มีเวลาจะกลับมาเขียนต่อนะครับ



ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์ อยากรับข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมรบกวนคลิ๊ก "like" ให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ


วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การป้องกันเสียงกระแทก


Impulse Noise Protection



เสียงดังที่เรารู้จักกันโดยหลักๆมี 2 ประเภท คือ "เสียงดังชนิดแบบต่อเนื่อง" และ "ไม่ต่อเนื่อง"

เสียงที่ดังอย่างต่อเนื่องสามารถแบ่งออกได้โดยพิจารณาความแตกต่างของระดับความดัง (Decibel) ระดับความดังของเสียงดังแบบต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้โดยเปรียบเทียบความแตกต่างกันที่ระดับความดังแตกต่างไม่เกิน 5 เดซิเบล เรียกว่า "Steady-state Noise" เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน เช่นพัดลม แอร์ ส่วนเสียงที่มีความดังแตกต่างกันากกว่า 5 เดซิเบล เรียกว่า "Fluctuating Noise" โดยเสียงดังชนิดนี้มักพบในโรงงานอุตสาหกรรม ที่เราปวดหัวกันอยู่ทุกๆวันนั่นเอง

กราฟ Impulse noise

ส่วนเสียงดังแบบไม่ต่อเนื่องที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่เรามักไม่ได้พูดถึงกันมากนัก คือ เสียงกระแทก "Impulse Noise" ซึ่งอาจเรียกได้หลายชื่อ เช่น Impact Noise หรือ Implosive Noise ซึ่งเป็นเสียงที่ช่วงความดังสูงสุดสั้นและตกลงมาต่ำสุดไปอย่างรวดเร็วในระดับมิลลิวินาที (ms) เช่น เสียงระเบิด เสียงปืน และ เสียงตกกระทบของวัตถุ เป็นต้น (กราฟด้านบน)


หูของเราแบ่งออกเป็น 3 ส่วนหลักๆ คือ หูชั้นนอก หูชั้นกลางและหูชั้นใน โดยอวัยวะที่สำคัญมากๆก คือ เซลล์ขน (Hair cell) ในคลอเคลีย (Cochlea) ซึ่งทำหน้าที่ส่งสัญญาณเสียงไปยังระบบประสาทให้ทราบว่าเสียงที่ได้ยิน คือ เสียงของอะไร



วีดีโอยิงปืนโดยไม่สวมใส่อุปกรณ์ลดเสียง


Impulse Noise มักเกิดจากใช้อาวุธสงคราม เช่น ปืนพก ปืนใหญ่ ปืนกล และมีระดับความเสี่ยงที่มากกว่าหรือเท่ากับ 140 เดซิเบล ซึ่งสามารถทำลายประสาทหูแบบถาวรได้ เรียกว่า Acoustic trauma เยื่อแก้วหู อาจทะลุ ปวดศีรษะ ปวดหู Impulse Noise เป็นเสียงดังแบบไม่ต่อเนื่องที่มีความเป็นอันตรายสูง


การป้องกันเสียง Impulse Noise

เราสามารถทำได้โดยการสวมใส่อุปกรณ์ลดเสียง เมื่อไม่สามารถป้องกันที่แหล่งกำเนิดได้ (Source)

ครอบหูลดเ้สียง และปลั๊กอุดหู สามารถช่วยลดความเป็นอันตรายได้ระดับหนึ่ง แต่ในความเป็นจริงแล้วก็ยังไม่สามารถลดระดับเสียงของ Impulse Noise ให้ลดลงถึงระดับปลอดภัยได้ คือ การทำให้ระดับเสียงที่เข้าไปในหูต่ำกว่า 85 เดซิเบล เพราะ ครอบหูลดเสียง, ปลั๊กอุดหูชนิดธรรมดา (Passive hearing protection) มีค่า NRR (ค่าการลดเสียง) ส่วนใหญ่เท่ากับ 25-33 เดซิเบล ซึ่งยังไม่เพียงพอในการป้องกันเสียงประเภทนี้

สมัยที่ผมไปเรียนเรื่องนี้ที่ 3M Peltor ประเทศสวีเดนผมได้ถามถึงการป้องกันเสียงดังประเภทนี้ คนที่นั่นเก่งมากครับ พวกสวีเดนนี่สุดยอดจริงๆ เขาได้พัฒนาครอบหูลดเสียงที่สามารถให้สามารถป้องกันอันตรายของเสียงดังกล่าวได้ หรือที่เรียกว่า ครอบหูลดเสียงอิเล็กทรอนิคส์ (Electronic earmuffs, Active earmuffs) โดยครอบหูชนิดนี้มีวงจรอิเล็กทรอนิคภายใน และมีไมโครโฟนสำหรับลด Amplitude ความสูงของคลื่นเสียง ให้ลดลงก่อนที่เข้าไปในรูหู โดยลดลงจนอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า 85 เดซิเบลซึ่งปลอดภัย และช่วยคุ้มครองความ

ปลอดภัยให้กับผู้ที่รักการยิงปืน หรือจำเป็นต้องยิงเพราะความจำเป็น



ภาพประกอบ Tactical 6S คน และ คนสวีเดนสอนผมยิงปืน



นอกจากครอบหูลดเสียงแล้ว ยังมีปลั๊กลดเสียงที่ใช้ในการป้องกันเสียงยิงปืนเช่นกัน โดยปลายด้านหนึ่งเป็นสีเขียว และอีกด้านหนึ่งเป็นสีเหลือง
เมื่อสวมใส่ด้านสีเหลืองจะสามารถป้องกันเสียงยิงปืน เสียงกระแทก และช่วยให้ได้ยินเสียงรอบข้างได้ชัดเจน เช่นเสียงฝีเท้า คนเดิน สัตว์เลื้อยคลาน ส่วนด้านสีเีขียวเมื่อสวมใส่แล้ว ค่าการป้องกันจะเหมือนกับปลั๊กลดเสียงธรรมดา

ภาพประกอบปลั๊กอุดหูยิงปืน Combat arms earplugs



ขอบคุณข้อมูลด้านเทคนิคผลิตภัณฑ์ http://www.esafetythailand.com


ถ้าอ่านแล้วมีประโยชน์ อยากรับข้อมูลอื่นๆเพิ่มเติมรบกวนคลิ๊ก "like" ให้ด้วยครับ ขอบคุณครับ

Source : http://www.ohsafetytraining.com



Reference

http://en.wikipedia.org/wiki/Impulse_noise_(audio)

3M, Peltor communication

http://www.aikidofaq.com

http://www.esafetythailand.com