วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จป.วิชาชีพ กับ ภาษาอังกฤษ rev1. ตอนที่ 1

นับย้อนไป 12 ปี เมื่อเข้าสู่การเป็น "จป.วิชาชีพ"  แบบเต็มตัวครั้งแรก...ผมไม่คิดว่าคนโง่ๆอย่างผม...จะได้งานรวดเร็วขนาดนี้...

ผมได้งานเป็นคนแรกๆของรุ่น ผมได้งานใน บ.อินเดีย ปัญหาเรื่องงานกับผมแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะในชีวิตจริงมีเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่หลวง แสนสาหัสมากกว่านั้นก็คือ "ภาษาอังกฤษ"
ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เรียงประโยคไม่เป็น เขียนไม่รู้เรื่องศัพท์ดีๆไม่มีในสมอง สำเนียงเสื่อม ฟังไม่เข้าใจ และสื่อสารอะไรไม่ได้เลย 
พอทำไปทำมาสักปี ความชอกช้ำ น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ทะลักออกมา...ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจ ลาออกดีกว่าเพราะผมฟังสำเนียงอินเดียไม่รู้เรื่อง และเริ่มตั้งเป้าหมายว่า
"ทุกบ.ที่สมัครต้องมีคำว่า (Thailand) " เพราะบริษัทเหล่านี้ต้องใช้ภาษาอังกฤษ อยากลองทำงานกับฝรั่งบ้าง อาจจะคุ้นกับสำเนียงเขามากกว่าสำเนียงอินเดีย 
ในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผล ผมได้งานที่ใหม่เป็น EHS officer มีนายเป็นคนฝรั่งเศส แต่ผมก็ยังโง่เท่าเดิม...ไม่เข้าใจว่าเขาคุยอะไรกัน...
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า "ไม่ต้องโทษใครแล้ว เรานั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา" ไม่อยากแก้ตัวอีกแล้ว... 
"กูน่ะห่วยสุดๆแล้ว...เป็นเอามากเลยล่ะ..."
เขามองว่าภาษาผมไม่ได้เรื่อง ไม่ต่างจากคนงานเท่าไร...สงสารก็เลยส่งผมไปเรียนแบบตัวตัวที่โรงเรียนสอนภาษา พอบ่ายปุ๊ปออกไปเรียนเลย  มึงไม่ต้องทำงาน ให้รีบไปเรียน และตั้งใจเรียนมากๆ... 
ไม่่นานนัก...ผมโชคดีมากที่ได้รับเลือกให้ไปเรียนงานที่ต่างประเทศ เขากำลังจะส่งผมไปเรียนระบบ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย ที่สวิตเซอร์แลนด์(บาเซิล) และอังกฤษ(แมนเชสเตอร์)  
เจ้านายใจดีมาก ถึงขนาดหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษให้ผมในอังกฤษ อะไรช่างดีขนาดนี้ ผมเริ่มเห็นอนาคตแล้วว่า เราจะเก่ง เราจะพูดภาษาอังกฤษได้ เราจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ...แต่โชคฃะตามันเล่นตลก... ฝรั่งที่นั่นไล่ตะเพิดไม่ให้ผมมา...เพราะเขาเคยคุยกับผมแล้ว...เขาไม่เข้าใจ...แถวนั่นเขาเรียกว่า...ไม่ได้เรื่อง...
สภาพจิตใจบอบช้ำ แสนสาหัส น้ำตาซึม ทำได้แค่เอามือปาดแก้มตัวเอง...น้อยใจในปมด้อย และชะตาชีวิตของตัวเองเป็นที่สุด ผมเริ่มท้อแท้หมดหวังกับชีวิต ไม่อยากจะอยู่ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากจะเจอหน้าใคร... แต่ไม่กี่วันถัดมา จุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึง... 
กพ. 2004 เจ้านายส่งผมไป อบรมและทำ Workshop EHS ที่มาเลเซีย KL งานนี้เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ผมไปกับเพื่อนร่วมงานคนไทยอีกสองคน คนหนึ่งจบโทจากอเมริกา และทำงานที่นั่น 7 ปี สำเนียงอเมริกันล้วนๆ...ถ้าไม่ดูหน้านึกว่าฝรั่งที่ไหนมาพูดใกล้ๆ ส่วนอีกคนทำงานมา 10 กว่าปีในบริษัทต่างชาติ ภาษาเขาก็ดีเหมือนกัน...แล้วผมล่ะ...
ช่วงทำ Workshop ผมอยู่กลุ่มเดียวกับ ผู้เชี่ยวชาญจาก นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และ ดร.จากเยอรมันอีกหนึ่งคน   ผมสารภาพตามตรงว่า "ผมฟังพวกมันไม่รู้เรื่องเลย" พอผมเอ่ยปากบ้าง...ฝรั่งตอบกลับด้วยคำที่สุภาพที่สุดว่า "Sorry I don't understand you" ทันทีที่ผมได้ยินประโยคนี้...แม้จะฟังไม่ชัดเจนนัก...แต่จิตใต้สำนึกของผมสั่งการก่อนที่สมองจะประมวลผล...คอที่ตั้งอยู่ร่วงลง มือชา...น้ำตาซึม...ต้องคอยกลืนมันลงไป...
กลุ่มทีทำงานกัน 4 คน ตอนนี้เหมือนมีแค่ 3 คน เพราะอีก 1 คนที่เกินมา มันไร้ค่า ไร้ประโยชน์ เกะกะ พูดไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง...จากจป.ที่เก่งที่สุดในบริษัท เคยได้รางวัลระดับจังหวัด สภาพตอนนี้ไม่ต่างกับหมาขี้เรื้อนหนึ่งตัวเท่านั้นเอง มันน่าทรมานใจมาก 3 วันที่ผ่านมา ผมไม่ได้พูดกับใครเลย สถานการณ์ตอนนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ส่วนเกิน"ได้ชัดเจนและดีที่สุด...
มื่อกลับมาเมืองไทย ผมรีบเดินไปคุยกับพี่คนนึงเขาจบที่อเมริกา อยู่ที่นั่นมา 7 ปี เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาของผม...เขาให้ประโยคเด็ดมาว่า "อย่ากลัว"  "คนที่ไม่กระโดดออกมาจากความกลัวจะไม่รู้จักความกล้า" จากนั้นผมก็มีความกล้ามากขึ้น ตัดสินใจเอาเงินที่หามาทั้งหมดมานับ ที่บ้าน พ่อ แม่ผม สงสารผมมาก และเห็นความตั้งใจจริงของลูก จึงช่วยสมทบทุนส่วนหนึ่ง ผมตัดสินใจทันที และตั้งเป้าหมายใหม่ว่า... 
"กูจะต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้...จากที่ต้องให้คนอื่นช่วยแปล...กูจะไปแปลให้พวกมันฟัง"
ผมรีบวิ่งไปหานายฝรั่งทันทีเลยและบอกว่า "ผมขอลาออกไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียครับ"  นายฝรั่งรีบดึงเอกสารมาเซ็นทันที...และบอกว่า... "รีบไปเลย คุณทำงานได้ดีมากนะปราโมทย์ แต่ภาษาอังกฤษคุณไม่ดี และเมื่อเรียนจบแล้วที่ไหนๆ ก็จะรับคุณ...เชื่อผม" จาก ความกลัวมันบีบคั้นผมจนเป็น...ความกล้า
เมื่อถึงซิดนีย์ ผมคบคนไทยน้อยมากเพราะอยากใช้ภาษาอังกฤษเยอะๆ เปิดวิทยุทิ้งไว้ทั้งคืน ดูหนังทุกวัน อ่านหนังสือทุกคืน เมื่ออยู่คนเดียวหรือเดินไปข้างนอกก็พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษตลอด จนบางครั้งฝรั่งหันมามอง  คงคิดว่าไอ้เวรนี้มันบ้าหรือเปล่า ผมนึกในใจว่า...มึงคอยดูไอ้บ้านี้ให้ดี...ไอ้บ้าคนนี้แล่ะจะมาคุยกับพวกมึง...
ภาษาผมเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมันเริ่มกลายเป็นความเชื่อมั่น แม้กระทั่งนอนหลับยังฝันเป็นภาษาอังกฤษเลย ในฝันแม่ผมยังคุยอังกฤษกับผมได้เลย...มันเหลือเชื่อมาก...
จากวันนั้นจนวันนี้ 12 ปีที่ผ่านมา...ผมรู้แล้วว่าภาษาอังกฤษเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตทั้งในชีวิตประจำวันและการทำงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องไปต่างประเทศเพื่อเรียนภาษานะครับ...แต่ไอ้คนที่ถูกฝรั่งไล่ตะเพิด ไม่ให้ไปเหยียบแผ่นดินของมันอย่างผม....มันสมควรไปจริงๆ
สุดท้ายนี้ผมสรุปได้ว่า... 
อาชีพ จป อย่างเราๆ ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะๆ อยากดูงานต่างประเทศ อยากอยู่ในบริษัทที่มีชื่อเสียง อยากพัฒนาตัวเองในระดับ World class... เราต้องทำงานกับบริษัทต่างชาติ ถ้าใครภาษาอังกฤษดีก็จะได้เปรียบ...เวลาสัมภาษณ์งานในบริษัทเหล่านี้ 
บริษัทดีๆมีการแข่งขันสูงมาก  เพื่อนร่วมอาชีพเรา จบปริญญาโทกันเยอะ ถ้าเราไม่จบโท หรือเราจบโทเหมือนกัน มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆ... แล้วอะไรล่ะคือจุดขายของตัวเราที่จะทำให้ได้งานก็คือ "ความตั้งใจ ประสบการณ์ ผลงาน และภาษาอังกฤษครับ" เจ้านายต่างชาติทุกคนอยากได้คนที่คุยภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เรื่องงานไม่เท่าไรหรอกครับ เขาเตรียมพร้อมให้เราทำตามระบบอยู่แล้วครับ ว่าแต่เราพร้อมที่จะสื่อสารกับเขารู้เรื่องหรือเปล่า?
เปลี่ยนปมด้อย...ให้เป็นแรงบัลดาลใจ...
เปลี่ยนจุดอ่อน...ให้เป็นจุดขาย...  
เปลี่ยนความกลัว...ให้เป็นความกล้า... 
เปลี่ยนความคิด...ชีวิตเปลี่ยน...
ใครไม่เปลี่ยนความคิด...ชีวิตไม่เปลี่ยน...

บทความถัดไปผมจะมาเล่าเกี่ยวกับชีวิตที่ซิดนีย์ให้ฟังว่า... 
"คนโง่ๆ แบบผมไปทำอะไรไว้บ้าง แล้วผลลัพธ์คืออะไร?
คิดเห็นอย่างไร โดนหรือไม่โดน มาคุยกันได้ที่ 
Facebook 
https://www.facebook.com/pramoteo
www.pramoteo.com