วันพฤหัสบดีที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2563

ในวันที่กรรมกร มีรายได้มากกว่า วิทยากร


ถ้าเลือกได้หลายคน อยากจะทำงานสบายๆ ไม่มีใครอยากจะทำงานหนัก ที่ต้องใช้แรงงานมากมาย ที่ต้องทำงานทั้งวันทั้งคืน ตากแดด ตากฝน ตากลม และรายได้ก็ไม่ได้มากมายนักเลย 

แต่วันนี้ คนที่มีอาชีพนี้ ที่เราเรียกว่า "กรรมกร" กลับมีรายได้มากกว่า วิทยากรบางคนด้วยซ้ำ 

หากวิทยากรคนนั้น มีอาชีพเพียงแค่ วิทยากรอย่างเดียว ที่เป็นรายได้ทางเดียว โดยต้องออกไปทำงาน ถ้าไม่ออกไปก็ไม่ได้เงิน 

ผมเป็นคนหนึ่งที่เป็นวิทยากรด้านความปลอดภัย และทุกวันนี้ มีรายได้น้อยกว่า กรรมกร

งานที่ใช้แรงงาน ที่เราเรียกว่า กรรมกร เป็นอาชีพที่สุจริตครับ ผมไม่เคยดูถูกอาชีพใดๆทั้งนั้น ถ้าไม่เบียดเบียนใคร ไม่ทำผิดกฎหมาย และยกย่องด้วยครับ ที่ถึงแม้ว่าจะลำบาก เขาก็ไม่โกง ไม่หรอกใคร

ในช่วงสัปดาห์แรก รู้สึกแย่กับตัวเองมาก ที่งานถูกยกเลิกทั้งหมด จากคนที่ออกจากบ้านแทบทุกวัน แต่ตอนนี้ต้องอยู่บ้านทุกวัน 

รายได้ที่เข้ามา มีกินมีใช้ กลับกลายเป็นศูนย์ 

ผมพาครอบครัวมาอยู่กาญจนบุรี เดินเข้าไปออกกำลังกายในไร่อ้อยตอน 6โมงเช้า
 
ผมเห็นชาวไร่ กำลังขุดร่องน้ำสำหรับเปิดน้ำเข้าไร่ ผมถามเขาว่า ทำงานตั้งแต่กี่โมง?

ชาวไร่คนนี้ บอกว่า เขามาทำตั้งแต่ตี 4 แล้ว 

ผมย้อนกลับมาดูตัวเองว่า เขาได้เงินตั้งแต่ตอนตี 4 แต่เราเนี่ย เข้านอนแล้ว เรายังไม่ได้เงินเข้ากระเป๋าสักบาทเลย 

เรามิได้เพียงแค่มีรายได้ต่อวันน้อยกว่า กรรมกร เพราะตอนนี้ แม้แต่เกษตรกรเอง ก็มีรายได้มากกว่าเรา เขามีงานทำทุกวัน 

ฟังดูก็หดหู่กับตัวเองเหมือนกันครับ อาชีพกรรมกร และ เกษตรกร ที่หลายคนมองว่ามีรายได้น้อยที่สุด  

แต่กลับมีรายได้มากกว่าวิทยากรที่หลายคนที่คนส่วนใหญ่มองว่า มีรายได้ดี

จึงคิดว่า การที่เราจะรอให้จบวิกฤต แล้วจึงทำงาน เป็นความคิดที่ไม่ถูกต้องเอาเสียเลย 

สิ่งที่เราควรทำตอนนี้ คือ พัฒนาตนเอง หาความรู้ใหม่ รวมถึง หารายได้ใหม่ๆ ในสภาวะวิกฤตแบบนี้ 

ทำให้เรานึกได้ว่า เราเองก็มี หนังสือที่เราเขียน โดยปกติ ผมเอาไว้แจกลูกค้า เรื่อยๆไม่รีบร้อน  

แต่ตอนนี้ ถึงเวลาที่ต้องเอามาขาย เพราะการอยู่เฉยๆ คือ การลดคุณค่าของตัวเองและ จะมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร?

ส่วนตัว รู้สึกดีกับเหตุการณ์นี้ ได้เรียนรู้อะไรหลายๆอย่าง 

การมีงานทำ ถึงแม้จะมีรายได้น้อย แต่การที่ไม่มีงานทำเลย และไม่มีรายได้เลยแย่กว่า

อะไรๆก็ไม่แน่นอน อยากมีอนาคตที่ดี ก็ต้องทำปัจจุบันให้ดีที่สุด

ปราโมทย์ โอภาสมงคลชัย

ท่านใดสนใจหนังสือที่ผมเขียน

สามารถสั่งได้ที่ www.pramoteo.com  หรือ LINE : @thesafetycoach
หรือ Facebook : The Safety Coach

วันพุธที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2563

ตั้งสติ กับ โควิด-19

           
วันก่อน ผมมีโอกาสได้ดูทีวี เห็นภาพชาวบ้านหลายคน ร้องห่มร้องไห้ โวยวายบ้างก็มี เนื่องจากไม่ได้เงิน 5,000 บาทจากรัฐบาล ผมเห็นแล้วผมรู้สึกว่าเขาคงจะเดือดร้อนมากจริงๆ ที่ไม่ได้รับเงินจำนวนนี้

แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เพียงแค่เขาเหล่านั้นเท่านั้น ที่ไม่ได้รับเงิน เพราะยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้รับเงินเช่นเดียวกัน

อาการที่เราเห็นดังกล่าว เกิดจากความเครียดนั่นเอง  คนเราถ้าปกติดี มีความสุข ก็จะไม่ถูกความเครียดเข้าครอบงำ และจะไม่แสดงออกในรูปแบบของ ความโกรธ ความโมโห และ ด่ากราดกัน

สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างก็คือว่า ตอนนี้คนที่เครียด ไม่ใช่แค่เราเท่านั้น ไม่ใช่แค่คนในประเทศไทย แต่คนทั่วโลก ก็ล้วนแต่เครียดกันทั้งนั้น

เครียดกันทั้งโลก

       
      ภาพ: Pekky_Marco ใน  Pixabay

เนื่องจากชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ปกติ จากที่เดินทางไปไหนมาไหนก็ไปได้ ตอนนี้ก็ไปไม่ได้ และที่มากกว่านั้นก็คือ คนที่ไม่มีเงิน หาเช้ากินค่ำนั้น น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะไม่มีเงินเก็บ ถ้าเขามีเงินเก็บเขาก็จะไม่เดือดร้อนอะไรมากมายนัก

แต่มันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้สิ่งที่จะทำให้เราสบายใจ ทำให้เราอยู่ได้ ก็คือ "การตั้งสติ"

สติ คือ การรู้สึกตัว รู้ตัวตอนนี้รู้สึกอย่างไร เช่นรู้สึกกังวล ไม่สบายใจ โกรธ เศร้า เหงา

อันดับแรก ต้องกลับมา "รู้สึกตัว" และ อย่าไปจมกับมัน ให้ระลึกเสมอว่า "ในวิกฤต ย่อมมีโอกาส" ซ่อนอยู่เสมอ

ทำไมหลายคน รวยเอารวยเอาในตอนนี้ และทำไมอีกหลายๆคน ทำไมจนเอาจนเอาๆ ทั้งๆที่อยู่สถานการณ์เดียวกัน ก็เพราะว่า เขามีวิธีการในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน

ดังนั้น ต้องกลับมารู้สึกตัว ยอมรับ และ ทำความเข้าใจว่า สิ่งที่เราเคยทำได้ในอดีต แล้วก่อให้เกิดรายได้ ก่อให้เกิดความสุขในชีวิต ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ ให้ "วาง" ไปก่อน

แล้วถามตัวเองว่า เรามีทักษะอะไรบ้าง ที่มีอยู่ ที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ และหาเงินได้ในสถานการณ์ตอนนี้

          
           ภาพ : Stevepb ใน Pixabay

จงอย่าคิดเรื่องรายได้ ว่ามันจะได้เท่ากับรายได้ก่อนหน้านั้น เพราะเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าตั้งใจทำจริงๆในวิกฤตแบบนี้ เราอาจจะมีอาชีพใหม่ๆและกลายเป็นอาชีพหลักได้เลยทีเดียว

เพื่อนของผมคนหนึ่ง เธอขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ รายได้ดีมาก แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้เลย เพราะว่าไม่มีคนออกมาเดิน ผู้คนไม่ใช้จ่ายเงิน แต่เธอเองโดยพื้นฐานชอบทำอาหารอยู่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนทักษะที่ตัวเองชอบ ให้กลายเป็นเงิน โดย"ทำอาหารตามสั่งขาย"

วันหนึ่งขายได้ประมาณ 200 กว่ากล่อง ก็ทำให้เธอยิ้มได้ เลี้ยงทุกคนในครอบครัวได้  ไปถามเธอว่า  ทำไมจึงทำได้ ? 

เธอตอบว่า ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ ลืมความสำเร็จเดิมๆ มองหาสิ่งใหม่ๆทำ

อันดับแรก ต้องมีเงินเลี้ยงปากท้องตนเอง และทุกคนในบ้าน เอาแค่ว่า ไม่อดตายก็พอแล้ว รวมถึง พยายามมองมุมมองในแง่บวก ที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แล้วลงมือทำ

คนส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ลงมือทำ แต่เขาเหล่านั้น "ลงมือทำไม่สุดความสามารถ" ต่างหาก ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ

ถ้าจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำจริงๆจังๆ ความอดทนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และต้องมองโลกตามความเป็นจริง รวมถึงดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจให้ดี

ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ก็ต้องออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนต่างๆในร่างกายทำงานได้ปกติ

             
             ภาพ : Sasint ใน Pixabay

ไม่ลืมไปว่า ใจกับกาย มันอยู่ด้วยกัน ใจทุกข์กายก็ทุกข์ด้วย กายทุกข์ ใจก็ทุกข์เช่นเดียวกัน

ต้องกลับมา "ยอมรับความจริง" เพราะมันไม่ใช่มีเพียงเราเท่านั้นที่เดือดร้อน เขาเดือดร้อนกันทั้งโลก

"การบ่น" ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่คนเขาจะมองว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาเป็นระบบ หากเราเอาแต่รอรับการช่วยเหลือจากคนอื่น โดยไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเอง คิดหรือว่าคนที่ช่วยเหลือเราจะข่วยเหลือเราได้ตลอดไป

แม้กระทั่งพ่อแม่เราเอง ก็ยังดูแลเราตลอดไปไม่ได้เลย 

พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทุกครั้งที่เกิดปัญหาให้กลับมาแก้ที่ตนเอง ปัญหามันจึงจะจบ อย่าไปโทษผู้อื่น

มนุษย์แตกต่างสัตว์เดรัจฉาน ตรงที่มนุษย์มีสติ

ดังนั้น เราไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน เรามีสติ เรามีความคิด ก็ต้องเอาสติมาใช้ เพื่อให้ดำรงชีวิตต่อไปได้ "หอยมันไม่มีตีน มันยังทำกินได้เลย" ปู่เย็นเคยบอกเอาไว้

ให้กำลังใจทุกคนครับ ถ้าจะลงมือทำ ก็ทำให้มันสุดๆไปเลย แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร ตั้งสติให้ดี ครับ 

ปราโมทย์โอภาสมงคลชัย 


ท่านใดสนใจหนังสือที่ผมเขียน

สามารถสั่งได้ที่ www.pramoteo.com  หรือ LINE : @thesafetycoach
หรือ Facebook : The Safety Coach



วันเสาร์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2563

โควิด-19 กระทบกับ วิทยากรอย่างไรบ้าง

จริงๆแล้ว ไม่ใช่เฉพาะอาชีพวิทยากรเท่านั้น ที่ได้รับผลกระทบ แต่ แทบทุกอาชีพบนโลกนี้เลยทีเดียว ที่ได้รับผลกระทบอย่างร้ายแรง

โดยเฉพาะอาชีพที่ต้องพบปะผู้คน หรือ ที่รายได้ เกิดจากการรวมตัวของกลุ่มคนจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นกีฬา  คอนเสิร์ต งานมหรสพ ต่างๆ รวมถึงงานสัมมนาด้วย

งานสัมมนา หรือ การอบรมนั้น ย่อมหนีไม่พ้นคนที่เป็น วิทยากร นั่นเอง ที่รับผลกระทบเต็มๆ

ดังนั้น 

คนที่เป็นวิทยากรตอนนี้ มีรายได้ 0 บาท เพราะไม่สามารถออกไปพบปะใครได้

แต่บางคนก็หารายได้เพิ่ม ด้วยการทําคอร์สออนไลน์ หรือ ทำอะไรก็ตามที่สามารถถ่ายทอดความรู้ของตัวเองให้กลายเป็นเงินได้ ก็เป็นสิ่งที่ดีครับ 

แต่สำหรับ วิทยากรที่เป็นคนนำกิจกรรมหรือ ทีม Team Building ต่างๆย่อมโดนหนักกว่าวิทยากรทั่วๆไป 

เพราะนักกิจกรรมเหล่านี้ จะต้องอาศัยคนจำนวนมาก มากๆ กิจกรรมจะมีการใกล้ชิดกัน สัมผัสกัน ร้องตะโกน หัวเราะ เฮฮา ยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ และ ต้องมีการจ้างทีมงานอีก

คนที่เป็นนักกิจกรรม สิ่งที่ทำได้ตอนนี้ก็ทำได้เพียงออกมาให้ความรู้เกี่ยวกับวิธีการทำกิจกรรมต่างๆ 

หรือถ้าเขามีความรู้อะไรต่างๆ ที่มากกว่า การกิจกรรม ก็เอามาแชร์มาแลกเปลี่ยนได้ 
ซึ่งมันไม่ง่ายเลยนะครับในตอนนี้ 


ที่ผมเล่าให้ฟัง เพราะน้องๆหลายคนที่อยากจะเป็นวิทยากร จะได้รับรู้ถึงปัญหาที่เกิดขึ้น ที่ผมได้ประสบมาก่อน

จึงอยากจะแชร์ประสบการณ์บางอย่างให้ทราบ 

คำถาม 

ภายหลังที่จบวิกฤตโควิด-19 อะไรบ้างที่เราต้องเตรียมตัว หากวันนั้นเราเป็นวิทยากรแล้ว แต่ 5 ปีถัดมา ก็มีเชื้อโรคร้ายกลับมาอีก 

ส่วนตัวผมเอง ก็ได้รับผลกระทบมาเต็มๆ ช่วงที่เริ่มระบาดใหม่ๆ งานก็ถูกยกเลิกไป 10 งานครับ รายได้เหลือเท่ากับ 0 บาท 

แต่ค่าใช้จ่าย ก็ยังคงที่ครับ เพราะมีที่ต้องจ่ายเป็นประจำอยู่แล้ว 

นาทีนี้ทำให้กลับมาทบทวนดูว่า การมีรายได้เพียงทางเดียวนั้น อันตรายสุดๆ 

เราต้องมีรายได้ทางอื่นๆด้วย ผมยังโชคดีที่ยังมีร้านค้าออนไลน์ ขายอุปกรณ์ PPE (www.esafetythailand.com) เล็กๆน้อยๆ 

รวมถึงเรายังมีทรัพย์สินทางปัญญา ก็คือหนังสือ 4 เล่ม และอีบุ๊คที่เรามีครับ แล้วยังมีความรู้ ที่พร้อมจะทำคอร์สออนไลน์ เพื่อหารายได้เพิ่มเติมได้อีก

ไม่ใช่มีเพียงสอนแค่เรื่องของเซฟตี้เท่านั้นเรื่องอื่นเราก็สอนได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการพูด การเขียน การสร้างแรงบันดาลใจให้กับชีวิต และถ่ายทอดประสบการณ์ต่างๆ 

ที่เล่าให้ฟังไม่ได้ต้องการจะบอกว่าเรามีความสามารถมากมายนัก 

แต่กำลังจะบอกว่า 
"ทุกคนเกิดมาเพื่อประสบความสำเร็จ" 

เราทุกคน มีศักยภาพซ่อนอยู่ในตัว คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน สามารถดึงศักยภาพที่เขามีออกมาได้ เพราะเขาค้นหามันเจอ 

แต่คนที่ยังไม่เจอกัน เอากันตรงๆเลยนะครับ เขาไม่ตั้งใจที่จะค้นหาตัวเอง

ขออภัยถ้าต้องพูดแรงๆ เพราะว่าถ้าเขาเจอแล้ว ชีวิตของเขา ย่อมดีกว่านี้แน่ๆ 

แต่ถ้าเจอแล้ว ปราศจากการลงมือทำ ก็ย่อมไม่เกิดประโยชน์อะไร 

การลงมือทำอย่างเดียว ก็ไม่เพียงพอ ก็ต้อง ลงมือทำให้มันสุดความสามารถด้วย จะได้ไม่มีข้ออ้างมาบอกว่า ลงมือทำไปแล้วแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ 

ผมขออนุญาตถ่ายทอดประสบการณ์ที่มี เพื่อเป็นประโยชน์ต่อน้องๆ หรือท่านใดก็ตามครับ ที่จะเข้าสู่วงการวิทยากรและในวิกฤตเราจะอยู่ยังไงให้ได้และสำคัญมากๆ

อย่าลืมวางแผนเรื่องการเงิน และก็ ต้องมีทุนสำรองอย่างน้อย 6 เดือน ที่เราอยู่ได้โดยที่เราไม่ต้องทำงานไว้เป็นกรณีฉุกเฉินด้วยครับ 

ภาพ : bangkokpost

มูฮัม หมัดอาลี เป็นนักมวยที่โด่งดังมาก แต่โด่งดังมากจากการขี้โม้ตั้งแต่อายุ 20 

ตอนนี้เขาอายุ 50 แล้ว มีคนไปถามเขาว่ายังขี้โม้เหมือนเดิมไหม?

เขาบอกว่า ผ่านมา 30 ปีถ้ายังทำเหมือนเดิมยังเหมือนเดิม ก็หมายความว่าเราไม่ได้เรียนรู้เราอะไร เราไม่ได้พัฒนาตัวเราเองเลย

เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ตอนนี้ เราถูกน็อคดาวน์มาหลายอาทิตย์  

30-40 ปีที่ผ่านมาของเรา ความคิด ความเชื่อที่มี ก็ย่อมเปลี่ยนไปด้วย เพราะถ้าเราไม่เปลี่ยน เราจะถูกมันเปลี่ยน 

เหมือนสึนามิคลื่นใหญ่ที่พัดเราหายไปจนไม่เหลืออะไรเลย 

โชคดีทุกคนนะครับ

ปราโมทย์โอภาสมงคลชัย 

ท่านใดสนใจหนังสือที่ผมเขียน

สามารถสั่งได้ที่ www.pramoteo.com  หรือ LINE : @thesafetycoach
หรือ Facebook : The Safety Coach

วันเสาร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2563

ใครๆก็ไม่ชอบจป.


จป.หลายคน น่าจะเคยมีประสบการณ์ จากการที่เรา คิดช่วยเหลือ หวังดี แต่ปรากฎว่ากลับถูกตำหนิ หรือ ไม่ก็ถูกขู่ทำร้าย 

เราก็นึกว่า เราหวังดี แต่ผลที่ได้ กลับมา กับไม่ดีเอาซะเลย

"ความขัดแย้ง" เกิดขึ้นจากการที่แต่ละคนแต่ละฝ่าย มีความคิดเห็น ที่แตกต่างกัน และที่มากกว่านั้น คือ

ทั้งๆที่รู้ว่า "มีความคิดเห็นแตกต่างกัน แต่ต่างฝ่าย ต่างก็จะเอาความคิดเห็นของตัวเอง ไปควบคุม ไปบังคับคนอื่นให้ทำในสิ่งที่ตนเองต้องการ" 

จป. ก็เข้าใจว่า เราทำในสิ่งที่ถูกต้อง มันคือเรื่องความปลอดภัย และ เป็นกฎระเบียบของบริษัท

ส่วนพนักงานบอกว่า มันเป็นเรื่องที่น่ารำคาญ ยุ่งยากเสียเวลา ทำให้งานล่าช้า

คิดคนละฝั่ง แล้วมันจะมาเจอกันได้ยังไง?

จะดีกว่าไหม ที่เราเปลี่ยนจากการสั่ง เป็นการโค้ช 

ต้องเป้าหมาย  

"ผลผลิตก็ได้ความปลอดภัยก็ดี" 

การโค้ช อาจจะไม่ต้องต้องคำถามก็ได้ แต่วางกลยุทธ์ให้เขาได้ฉุกคิดได้ว่า "สะท้อน" ให้เขาเห็น 

อาจจะเป็นกิจกรรมต่างๆ ตัวอย่าง หรือ หลักฐานของการเกิดอุบัติเหตุ รวมถึง ผลกระทบที่เกิดขึ้น 


การจัดกิจกรรมสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวของพนักงาน เพื่อให้เกิดความรู้สึกรัก และ ผูกพันกัน ห่วงใยกัน ก็ช่วยได้

จะได้คำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น 

สิ่งที่สำคัญมากที่สุด อย่าพยายามควบคุมใคร ในขณะที่เจ้าตัวยังไม่ยอมรับ

"การสร้างความสัมพันธ์" 

เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้เลย ถ้าความสัมพันธ์ไม่ดี เหตุผลไม่สอดคล้องกัน ยากมากที่จะควบคุมหรือ โน้มน้าวให้เขาไปในทิศทางเดียวกับเรา

ผมสังเกตมาหลายบริษัทแล้ว จป.ที่มี "มนุษยสัมพันธ์ที่ดี" มีความเข้าใจ รู้จักฟัง จะได้รับการยอมรับจากพนักงาน และผลที่ตามมา คือ "อุบัติเหตุลดน้อย" 

ความสัมพันธ์ในองค์กรก็ดี วัฒนธรรมความปลอดภัยที่ดีตาม

ปราโมทย์โอภาสมงคลชัย
The Safety Coach
www.pramoteo.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2563

Brain Centered Hazards

Brain Centered Hazards 

เป็นการค้นพบเพิ่มเติม ในเชิงวิทยาศาสตร์ ด้านประสาทวิทยา (Neuro Science) 

เพื่อศึกษาเกี่ยวกับ สาเหตุของการเกิดอุบัติเหตุ อันเนื่องมาจากการทำงานของสมอง  

ในอดีต เราเชื่อกันว่าอุบัติเหตุเกิดขึ้น มาจากการ "กระทำที่ไม่ปลอดภัย" เราก็ควบคุมบังคับไม่ให้เกิดการกระทำนั้นๆขึ้น เพื่อป้องกันอุบัติเหตุ

แต่ในเรื่องของ Brain Centered Hazards นั้น  มองลึกลงไปว่า

ทำไมเขา จึงแสดงพฤติกรรมนั้นออกมา อันเกิดจากฮอร์โมน และ เคมีในสมอง

โดยเฉพาะเรื่องของ"ความอ่อนเพลีย" และ อารมณ์ต่างๆ ซึ่งมีผลก่อให้เกิดพฤติกรรมนั้นๆ

ยกตัวอย่าง

คนที่เกิดอุบัติเหตุ เนื่องจากหลับใน ก็มาจากเรื่องของ ความอ่อนเพลีย หรือไม่ก็ ดื่มแอลกอฮอล์

ซึ่งมีผลต่อเคมีในสมอง ทำให้เกิดความเมื่อยล้า ตัดสินใจผิดพลาด รวมถึงหงุดหงิดอารมณ์เสียได้ง่าย

แม้กระทั่งในบ้านเองก็ตาม

ความผิดพลาด หรือ การทะเลาะวิวาทที่เกิดขึ้น ก็มักจะเป็นช่วงเย็นๆหลังเลิกงาน

เนื่องจากต่างคนต่างเหนื่อย แล้วก็อ่อนเพลีย "คอร์ติซอล" ฮอร์โมน หลั่งเต็มหัว

ทำให้เกิดโอกาสกระทบกระทั่งกันได้ง่าย หากมีอะไรที่ไม่พอใจ

และก็นำไปสู่ ความโมโห รีบร้อน เกิดข้อผิดพลาด และเกิดอุบัติเหตุได้

ดังนั้น

Brain Centered Hazards คือ การศึกษาลงไปถึง ระดับฮอร์โมน ความคิด ที่นำไปสู่การใช้ชีวิต ที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัย

หัวหน้างาน จะรู้แต่เรื่องงานอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้เรื่องชีวิต และ อารมณ์ ความเป็นอยู่ของลูกน้องด้วย

พฤติกรรมความปลอดภัยสร้างได้

ปราโมทย์โอภาสมงคลชัย 

www.pramoteo.com