วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พฤติกรรมความปลอดภัย เป้าหมายชีวิต ภาษาอังกฤษ ตอนที่2...


หลายๆบริษัทต่างให้ความสำคัญอย่างมากกับเรื่องความปลอดภัยฯ ที่เห็นกันมากๆก็ Safety first ปลอดภัยไว้ก่อน หรือจัดลำดับให้เป็น First Priority (อันดับความสำคัญแรกสุด) แต่ผมกลับมองว่านายจ้างบางทีก็ทำตามกระแส ทำตามความรู้สึก...

เราทำตามๆกันไป ใครๆเขาก็ทำกัน ใครๆเขาก็พูดกัน เราก็ว่าตามนั้นไป จะมีสักกี่่คนสามารถบอกได้ถึง Value (คุณค่า)ของ Safety ได้จริงๆบ้าง ถ้าเข้าใจและลึกซึ้งจริงๆ ป่านนี้ทำกันไปตั้งนานแล้วครับไม่ต้องบอก ไม่ต้องเตือน ไม่ต้องมีกฎ



คนคิดเป็น และคนคิดไม่เป็น...

คนคิดเป็นไม่ต้องไม่ต้องมีกฎ ไม่ต้องมีระเบียบ เขาทำเองเลย ถ้าไม่รู้เขาจะถาม
แต่คนคิดไม่เป็นจะทำตรงข้ามกันทั้งหมด ซึ่งน่าตกใจมากและน่าเป็นห่วงที่สุด ความคิดเป็นสิ่งที่มองไม่เห็น. จะเห็นก็ตอนที่กระทำ

หลายคนเอาแต่สั่ง แต่ไม่เคยสอน แล้วอยากให้เขาทำ

เขาทำตามแน่ครับ แต่ทำตามเฉพาะตอนที่คุณอยู่ แต่พอคุณไม่อยู่ เขาไม่ทำ!



ถ้าไม่เคยสอน ไม่เคยพัฒนาคน อย่าไปว่าอะไรเขาเลย ทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่เขาแต่มันอยู่ที่เรา

อยากจะเปลี่ยนการกระทำต้องเปลี่ยนที่ความคิด
คนไหนเปลี่ยนความคิดชีวิตเปลี่ยน
คนไหนไม่เปลี่ยนความคิดชีวิตไม่เปลี่ยน


ตามที่เราเรียนๆกันได้...
โมเดลการเกิดอบัติเหตุมันเป็นแบบนี้...

Near miss => Minor Accident => Major Accident => Fatal 
เกือบ => อุบัติเหตุเล็กน้อย => อุบัติเหตุร้ายแรง => ตาย 


เรามั่นใจเหรอครับว่า มันต้องเรียงลำดับแบบนี้
บางครั้งพอเป็น Near miss ปุ๊บ มันก็โดดไป Fatal เลยนะ

ไม่เชื่อลองไปถามคนที่เหยียบ 180 ดูสิ
รถเขาแรงมาก...
สามารถพาคนขับจากชาตินี้...ไปถึงชาติหน้าได้...




คำถาม...
เราอยากให้พนักงานของเราคิดเป็นหรือคิดไม่เป็น?
อยากให้เขาปลอดภัยต้องเปลี่ยนที่ความคิด
ใครเปลี่ยนความคิดชีวิตปลอดภัย
ใครไม่เปลี่ยนความคิดชีวิตหายนะ

ที่สำคัญบรรดานายๆต้องเปลี่ยนก่อนนะครับ

ต่างที่คิด...ชีวิตจึงปลอดภัย...

www.pramoteo.com



วันศุกร์ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2555

พฤติกรรมความปลอดภัย เป้าหมายชีวิต ภาษาอังกฤษ ตอนที่1...


 


เมื่อ 23 พ.ย. 2555 ผมได้มีโอกาสกลับไปทดแทนคุณ คณะสาธารณสุขศาสตร์. มหาวิทยาลัยมหิดล

ผมได้ไปบรรยาย
การปลูกฝังพฤติกรรมความปลอดภัย BBS (Behavior-Based Safety)
จากประสบการณ์จริง และบินไปศึกษาเพิ่มเติมจากต้นตำรับกับบริษัทที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุดในตำรา BBS ดีๆหลายเล่ม

ผมโชคดีมากที่ได้รับการถ่ายทอดมาโดยตรงจากปรมาจารย์ชาวแคนนาดา วันนี้เป็นโอกาสดีที่ได้นำมาถ่ายทอดให้น้องๆทุกคนครับ

ตอนท้ายชั่วโมง
ผมได้แบ่งปันและเล่าประสบการณ์การทำงานด้านความปลอดภัยฯ อุปสรรคปัญหาต่างๆในการทำงานการทำงานกับผู้ใหญ่ การปรับตัว
และความสำคัญของภาษาอังกฤษจากประสบการณ์มากกว่า 10 ปี โดยตรงของผมที่ผมกระเสือกกระสนจากเมืองไทยหนีไปออสเตรเลียว่า...พลิกความคิด พลิกชีวิต เขาทำกันอย่างไร?



BBS (Behavior-Based Safety)

เป็นวิธีการที่ใช้ในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อให้เกิดความปลอดภัยโดยอาศัยหลักการความปลอดภัย วิทยาศาสตร์ และจิตวิทยาอย่างต่อเนื่อง เข้มข้น เต็มระบบ

ผมเคยได้ยินหลายคนพูดว่า มันเป็นระบบที่ดีนะ แต่เอามาใช้กับคนไทยไม่ได้ ผมฟังแล้วเศร้าใจกับความคิดนี้มาก...


ลองนึกดู ถ้าเราบอกตัวเองทุกวันแบบนี้ บอกตัวเองคนเดียวไม่พอ ยังไปบอกกับชาวบ้านอีกว่า มันเป็นไปไม่ได้ ทำไม่ได้หรอกทุกสิ่งทุกอย่างที่จะทำมันคงไม่มีทางเป็นไปได้เลย หรือไม่กล้าแม้แต่จะคิด....

ถ้าเชื่อแบบนี้จะทำอะไรก็ไม่มีทางสำเร็จ

ดังนั้นเปลี่ยนความคิดกันเถอะครับ


จำไว้ว่า

ถ้าคุณคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ คุณจะไม่มีทางลงมือทำ...
แต่ถ้าคุณคิดตรงข้ามกัน คุณจะไม่ได้ทำแค่คนเดียว...
จะมีหลายคนมาช่วยคุณ และลุยไม่เลิกจนกว่ามันจะสำเร็จ...

คนทั้งบริษัทจะตกตลึงกับความเก่งความสามารถของคุณ เลิกเถอะครับ การคิดตามความคิดของคนอื่น
โปรดอย่าได้เชื่อจนกว่าคุณจะได้ลงมือทำมัน

คุณจะไม่มีทางรู้โดยเด็ดขาดว่า
คุณจะบินไปได้ไกลแค่ไหน ถ้ายังไม่เคยกางปีก
อุปสรรคยิ่งมากปัญหายิ่งเยอะ
แต่ถ้าแก้ได้ ผลลัพธ์ที่ได้คืนมา มันจะยิ่งใหญ่มาก



เชื่อผมเถอะครับ ฝรั่งนำ BBS ไปใช้จนประสบความสำเร็จได้ เขาก็คนเราก็คนแล้วทำไมเราจะทำไม่ได้ล่ะครับ สมองคนไทยไม่ธรรมดานะ สุขภาพจิต อารมณ์ขัน และมีน้ำใจ 

แค่เอามาปรับ เอามาแต่ง เอามาปรุง เอามาใช้ให้เหมาะกับคนไทยก็ใช้ได้แล้วครับ

สำหรับ BBS สองชม.นี้ ผมไม่พูดอะไรมาก แต่ที่จำเป็นต้องพูดมาก คือ
การเปลี่ยนความคิด...

เปลี่ยนจากไม่ชอบกลายเป็นชอบ
เปลี่ยนจากไม่เชื่อกลายเป็นเชื่อ
เปลี่ยนจากอนตรายกลายเป็นปลอดภัย

สิ่งที่อยากให้เชื่อก่อนที่จะเข้าเนื้อหามีดังนี้ครับ
1. อุบัติเหตุและโรคจากการทำงานสามารถป้องกันได้
2. ความปลอดภัยเป็นหน้าที่ของทุกคน
3. ผู้บริหาร หัวหน้างาน ต้องให้การสนับสนุน
4. ธุรกิจที่ดี ต้องมีความปลอดภัย
5. ทัศนคติที่ดีเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
6. ความปลอดภัยเป็นเงื่อนไขของการว่าจ้าง

เอาไว้ต่อตอนถัดไปนะครับ...
อ่านจบแล้วมาคุยกันที่...

www.pramoteo.com

ต่างที่คิด...ชีวิตจึงปลอดภัย...


วันพฤหัสบดีที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จป.วิชาชีพ กับ ภาษาอังกฤษ rev1. ตอนที่ 1

นับย้อนไป 12 ปี เมื่อเข้าสู่การเป็น "จป.วิชาชีพ"  แบบเต็มตัวครั้งแรก...ผมไม่คิดว่าคนโง่ๆอย่างผม...จะได้งานรวดเร็วขนาดนี้...

ผมได้งานเป็นคนแรกๆของรุ่น ผมได้งานใน บ.อินเดีย ปัญหาเรื่องงานกับผมแล้ว ถือว่าเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะในชีวิตจริงมีเรื่องที่เป็นปัญหาใหญ่หลวง แสนสาหัสมากกว่านั้นก็คือ "ภาษาอังกฤษ"
ผมพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย เรียงประโยคไม่เป็น เขียนไม่รู้เรื่องศัพท์ดีๆไม่มีในสมอง สำเนียงเสื่อม ฟังไม่เข้าใจ และสื่อสารอะไรไม่ได้เลย 
พอทำไปทำมาสักปี ความชอกช้ำ น้อยเนื้อต่ำใจ มันก็ทะลักออกมา...ทนไม่ไหว จึงตัดสินใจ ลาออกดีกว่าเพราะผมฟังสำเนียงอินเดียไม่รู้เรื่อง และเริ่มตั้งเป้าหมายว่า
"ทุกบ.ที่สมัครต้องมีคำว่า (Thailand) " เพราะบริษัทเหล่านี้ต้องใช้ภาษาอังกฤษ อยากลองทำงานกับฝรั่งบ้าง อาจจะคุ้นกับสำเนียงเขามากกว่าสำเนียงอินเดีย 
ในที่สุดความพยายามของผมก็เป็นผล ผมได้งานที่ใหม่เป็น EHS officer มีนายเป็นคนฝรั่งเศส แต่ผมก็ยังโง่เท่าเดิม...ไม่เข้าใจว่าเขาคุยอะไรกัน...
ตอนนี้ผมเข้าใจแล้วว่า "ไม่ต้องโทษใครแล้ว เรานั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา" ไม่อยากแก้ตัวอีกแล้ว... 
"กูน่ะห่วยสุดๆแล้ว...เป็นเอามากเลยล่ะ..."
เขามองว่าภาษาผมไม่ได้เรื่อง ไม่ต่างจากคนงานเท่าไร...สงสารก็เลยส่งผมไปเรียนแบบตัวตัวที่โรงเรียนสอนภาษา พอบ่ายปุ๊ปออกไปเรียนเลย  มึงไม่ต้องทำงาน ให้รีบไปเรียน และตั้งใจเรียนมากๆ... 
ไม่่นานนัก...ผมโชคดีมากที่ได้รับเลือกให้ไปเรียนงานที่ต่างประเทศ เขากำลังจะส่งผมไปเรียนระบบ ความปลอดภัย อาชีวอนามัย ที่สวิตเซอร์แลนด์(บาเซิล) และอังกฤษ(แมนเชสเตอร์)  
เจ้านายใจดีมาก ถึงขนาดหาโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษให้ผมในอังกฤษ อะไรช่างดีขนาดนี้ ผมเริ่มเห็นอนาคตแล้วว่า เราจะเก่ง เราจะพูดภาษาอังกฤษได้ เราจะประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ ...แต่โชคฃะตามันเล่นตลก... ฝรั่งที่นั่นไล่ตะเพิดไม่ให้ผมมา...เพราะเขาเคยคุยกับผมแล้ว...เขาไม่เข้าใจ...แถวนั่นเขาเรียกว่า...ไม่ได้เรื่อง...
สภาพจิตใจบอบช้ำ แสนสาหัส น้ำตาซึม ทำได้แค่เอามือปาดแก้มตัวเอง...น้อยใจในปมด้อย และชะตาชีวิตของตัวเองเป็นที่สุด ผมเริ่มท้อแท้หมดหวังกับชีวิต ไม่อยากจะอยู่ ไม่อยากทำงาน ไม่อยากจะเจอหน้าใคร... แต่ไม่กี่วันถัดมา จุดเปลี่ยนของชีวิตก็มาถึง... 
กพ. 2004 เจ้านายส่งผมไป อบรมและทำ Workshop EHS ที่มาเลเซีย KL งานนี้เต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญทั่วโลก ผมไปกับเพื่อนร่วมงานคนไทยอีกสองคน คนหนึ่งจบโทจากอเมริกา และทำงานที่นั่น 7 ปี สำเนียงอเมริกันล้วนๆ...ถ้าไม่ดูหน้านึกว่าฝรั่งที่ไหนมาพูดใกล้ๆ ส่วนอีกคนทำงานมา 10 กว่าปีในบริษัทต่างชาติ ภาษาเขาก็ดีเหมือนกัน...แล้วผมล่ะ...
ช่วงทำ Workshop ผมอยู่กลุ่มเดียวกับ ผู้เชี่ยวชาญจาก นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย และ ดร.จากเยอรมันอีกหนึ่งคน   ผมสารภาพตามตรงว่า "ผมฟังพวกมันไม่รู้เรื่องเลย" พอผมเอ่ยปากบ้าง...ฝรั่งตอบกลับด้วยคำที่สุภาพที่สุดว่า "Sorry I don't understand you" ทันทีที่ผมได้ยินประโยคนี้...แม้จะฟังไม่ชัดเจนนัก...แต่จิตใต้สำนึกของผมสั่งการก่อนที่สมองจะประมวลผล...คอที่ตั้งอยู่ร่วงลง มือชา...น้ำตาซึม...ต้องคอยกลืนมันลงไป...
กลุ่มทีทำงานกัน 4 คน ตอนนี้เหมือนมีแค่ 3 คน เพราะอีก 1 คนที่เกินมา มันไร้ค่า ไร้ประโยชน์ เกะกะ พูดไม่ได้ ฟังไม่รู้เรื่อง...จากจป.ที่เก่งที่สุดในบริษัท เคยได้รางวัลระดับจังหวัด สภาพตอนนี้ไม่ต่างกับหมาขี้เรื้อนหนึ่งตัวเท่านั้นเอง มันน่าทรมานใจมาก 3 วันที่ผ่านมา ผมไม่ได้พูดกับใครเลย สถานการณ์ตอนนี้มันทำให้ผมเข้าใจว่าคำว่า "ส่วนเกิน"ได้ชัดเจนและดีที่สุด...
มื่อกลับมาเมืองไทย ผมรีบเดินไปคุยกับพี่คนนึงเขาจบที่อเมริกา อยู่ที่นั่นมา 7 ปี เพื่อหาหนทางแก้ปัญหาของผม...เขาให้ประโยคเด็ดมาว่า "อย่ากลัว"  "คนที่ไม่กระโดดออกมาจากความกลัวจะไม่รู้จักความกล้า" จากนั้นผมก็มีความกล้ามากขึ้น ตัดสินใจเอาเงินที่หามาทั้งหมดมานับ ที่บ้าน พ่อ แม่ผม สงสารผมมาก และเห็นความตั้งใจจริงของลูก จึงช่วยสมทบทุนส่วนหนึ่ง ผมตัดสินใจทันที และตั้งเป้าหมายใหม่ว่า... 
"กูจะต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้...จากที่ต้องให้คนอื่นช่วยแปล...กูจะไปแปลให้พวกมันฟัง"
ผมรีบวิ่งไปหานายฝรั่งทันทีเลยและบอกว่า "ผมขอลาออกไปเรียนภาษาที่ออสเตรเลียครับ"  นายฝรั่งรีบดึงเอกสารมาเซ็นทันที...และบอกว่า... "รีบไปเลย คุณทำงานได้ดีมากนะปราโมทย์ แต่ภาษาอังกฤษคุณไม่ดี และเมื่อเรียนจบแล้วที่ไหนๆ ก็จะรับคุณ...เชื่อผม" จาก ความกลัวมันบีบคั้นผมจนเป็น...ความกล้า
เมื่อถึงซิดนีย์ ผมคบคนไทยน้อยมากเพราะอยากใช้ภาษาอังกฤษเยอะๆ เปิดวิทยุทิ้งไว้ทั้งคืน ดูหนังทุกวัน อ่านหนังสือทุกคืน เมื่ออยู่คนเดียวหรือเดินไปข้างนอกก็พูดกับตัวเองเป็นภาษาอังกฤษตลอด จนบางครั้งฝรั่งหันมามอง  คงคิดว่าไอ้เวรนี้มันบ้าหรือเปล่า ผมนึกในใจว่า...มึงคอยดูไอ้บ้านี้ให้ดี...ไอ้บ้าคนนี้แล่ะจะมาคุยกับพวกมึง...
ภาษาผมเริ่มพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จนมันเริ่มกลายเป็นความเชื่อมั่น แม้กระทั่งนอนหลับยังฝันเป็นภาษาอังกฤษเลย ในฝันแม่ผมยังคุยอังกฤษกับผมได้เลย...มันเหลือเชื่อมาก...
จากวันนั้นจนวันนี้ 12 ปีที่ผ่านมา...ผมรู้แล้วว่าภาษาอังกฤษเป็นหัวใจสำคัญในการดำเนินชีวิตทั้งในชีวิตประจำวันและการทำงาน แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องไปต่างประเทศเพื่อเรียนภาษานะครับ...แต่ไอ้คนที่ถูกฝรั่งไล่ตะเพิด ไม่ให้ไปเหยียบแผ่นดินของมันอย่างผม....มันสมควรไปจริงๆ
สุดท้ายนี้ผมสรุปได้ว่า... 
อาชีพ จป อย่างเราๆ ถ้าอยากได้เงินเดือนเยอะๆ อยากดูงานต่างประเทศ อยากอยู่ในบริษัทที่มีชื่อเสียง อยากพัฒนาตัวเองในระดับ World class... เราต้องทำงานกับบริษัทต่างชาติ ถ้าใครภาษาอังกฤษดีก็จะได้เปรียบ...เวลาสัมภาษณ์งานในบริษัทเหล่านี้ 
บริษัทดีๆมีการแข่งขันสูงมาก  เพื่อนร่วมอาชีพเรา จบปริญญาโทกันเยอะ ถ้าเราไม่จบโท หรือเราจบโทเหมือนกัน มันก็ไม่มีอะไรแตกต่างจากคนอื่นๆ... แล้วอะไรล่ะคือจุดขายของตัวเราที่จะทำให้ได้งานก็คือ "ความตั้งใจ ประสบการณ์ ผลงาน และภาษาอังกฤษครับ" เจ้านายต่างชาติทุกคนอยากได้คนที่คุยภาษาอังกฤษรู้เรื่อง เรื่องงานไม่เท่าไรหรอกครับ เขาเตรียมพร้อมให้เราทำตามระบบอยู่แล้วครับ ว่าแต่เราพร้อมที่จะสื่อสารกับเขารู้เรื่องหรือเปล่า?
เปลี่ยนปมด้อย...ให้เป็นแรงบัลดาลใจ...
เปลี่ยนจุดอ่อน...ให้เป็นจุดขาย...  
เปลี่ยนความกลัว...ให้เป็นความกล้า... 
เปลี่ยนความคิด...ชีวิตเปลี่ยน...
ใครไม่เปลี่ยนความคิด...ชีวิตไม่เปลี่ยน...

บทความถัดไปผมจะมาเล่าเกี่ยวกับชีวิตที่ซิดนีย์ให้ฟังว่า... 
"คนโง่ๆ แบบผมไปทำอะไรไว้บ้าง แล้วผลลัพธ์คืออะไร?
คิดเห็นอย่างไร โดนหรือไม่โดน มาคุยกันได้ที่ 
Facebook 
https://www.facebook.com/pramoteo
www.pramoteo.com

วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555

ปลุกจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยให้กับตัวเอง


วันนี้ผมได้รับโอกาสอันดีจากโรงงานอิเล็กโทรนิคแห่งหนึ่งเพื่อมาพูด ปลุกจิตสำนึกเรื่องความปลอดภัยในการทำงานในเวลาสั้นๆ 1 ชม โดยใน 1ชม.ที่มีค่าต่อไปนี้ เหมือนเดิม ผมตั้งเป้าหมายไว้ว่า ต้องพูดในเรื่องที่ผู้ฟังทุกคนฟังแล้วชอบ ได้ประโยชน์ และประทับใจ มากไปกว่านั้นจะต้องปลุกจิตสำนึกความปลอดภัยของทุกคนให้ตื่นขึ้นมาให้ได้ ดังนั้นผมจึงเลือกเรื่องง่ายๆที่เกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตประจำวันที่น่าสนใจ และมีผลกระทบต่อการดำรงชีวิตของทุกคนมากที่สุดมาเล่า

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เป็นเรื่องใหม่ที่หลักความปลอดภัยสมัยใหม่เริ่มนำมาใช้มากขึ้นแล้ว โดยให้ความสำคัญเกี่ยวกับ อารมณ์ และสติ เป็นสำคัญ ตามที่เราเคยได้ยินว่าสติมาปัญญาเกิด สติเตลิดมักเกิดปัญหา เพราะสติ มีผลต่ออารมณ์ อารมณ์มีผลต่อการกระทำ การรกระทำมีผลต่อผลลัพท์ แต่ ถ้าการกระทำที่เกิดจากอารมณ์ที่ไม่ดี หงุดหงิด รีบร้อน ผลลัพธ์ก็คือ อุบัติเหตุ บาดเจ็บ และเสียชีวิตจริงหรือไม่จริงต้องฟังเรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้


ภาพประกอบ : prettygirl-online.com

ผู้หญิงคนหนึ่งขาวสวย หุ่นดี  เก่ง ฉลาด  งานการดี มีเกียรตินิยมจากมหาวิทยาลัยชื่อดังเป็นเครื่องรับประกัน  ในเช้าวันหนึ่ง ขณะกินข้าวอยู่ เธอเล่าปัญหาเรื่องที่ทำงานให้สามีฟัง แต่สามีให้ความสำคัญกับทีวีมากกว่า จึงไม่ได้ฟังเธอ เธอโกธรมาก เอะอะโวยวาย เธอโกธรจนหน้าขาวๆ สวยๆ ของเธอเป็นสีแดงกร่ำ เธอปัดจานกับข้าวหล่นแตกกระจัดกระจาย และรีบถอยรถออกออกไปทำงานทันที ทันใดนั้นเองรถคันหนึ่งก็พุ่งเข้ามาชนท้ายรถเธออย่างจัง รถเธอหมุนติ้ว ไปฟาดกับเสาไฟฟ้าหัก สามีตกใจรีบออกไปดูปรากฎว่า กระจกข้างที่เธอนั่งแตกกระจาย มีเลือดไหลออกมาจากขอบประตูด้านล่าง พอเปิดประตูออกมา เธออยู่ในสภาพแน่นิ่ง เลือดออกเต็มศีรษะ ไร้การตอบสนองใดๆ สามีจึงรีบพาไปหาหมอ หมอบอกว่า หมอได้ใช้ความพยายามสุดความสามารถแล้ว เธอยังมีชีวิตอยู่ได้ แต่ต้องเป็นเจ้าหญิงนิทรา และเป็นอัมพาตไปตลอดชีวิต หมอเสียใจด้วย สามีเข่าอ่อนลงไปฟุบลงไปทั้งยืน สิ้นหวัง ไร้เรี่ยวแรง น้ำตาไหลพรากที่สองแก้ม ปล่อยโฮกลางห้องพยาบาล โดยไม่อายใคร

ผู้หญิงสวย...เก่ง...มีอนาคต...ใครๆก็อยากได้ตัวไปทำงาน...มีโอกาสประสบความสำเร็จมากกว่าใครทั้งหมด...แต่สุดท้าย...เหลือแต่ร่างไร้วิญญาณ...เป็นภาระของครอบครัว...ภาระของสังคม...ไร้ค่า...เพราะ...ความโกธรชั่ววูบได้ทุบจิตสำนึกความปลอดภัยเสียจนแตกกระจาย...ไม่มีชิ้นดี ด้วยสิ่งนี้ สิ่งเดียวที่เรียกว่าอารมณ์ ที่ขาดสติ

รีบร้อน รีบมากก็เหนื่อยมาก เหนื่อยมากก็หงุดหงิด หมดแรง ตาไม่มอง อารมณ์เสีย ทำอะไรก็ผิดพลาด แล้วก็เกิดอุบัติเหตุ

สิ่งเหล่านี้คือวงจรที่แท้จริงของการเกิดอุบัติเหตุ ก็คือเรื่องของ พฤติกรรมเสี่ยงที่เกิดจาก สติ และอารมณ์นั่นเอง

ผู้เชี่ยวชาญด้านพฤติกรรมความปลอดภัย (BBS) กล่าวไว้ว่า

ถ้ามี 5 ไม่...จะไม่เกิดอุบัติเหตุ

1. ไม่รีบร้อน       
2. ไม่หงุดหงิด       
3.ไม่อ่อนเพลีย        
4. ไม่ละสายตา      
5. ไม่ขาดสติ





จำไว้ว่า เมื่อขาดสติ อารมณ์จะนำคุณไปสู่ หายนะ อุบัติเหตุ บาดเจ็บ และความตาย

www.pramoteo.com


วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

ปลุกจิตสำนึกการสวมใส่ PPE



วันนี้ได้มีโอกาสไปพูด "ปลุกจิตสำนึกการสวมใส่ PPE" สั้นๆ 1 ชม. ให้กับกลุ่มบริษัท Oil and Gas แห่งหนึ่ง เวลาค่อนข้างจำกัด ดังนั้นทุกนาทีต้องเป็นเรื่องที่ "คนฟังชอบ...ได้ประโยชน์... และประทับใจ" ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ก่อนการพูดทุกครั้ง

ผมอยู่ในวงการด้าน PPE มานาน เห็นอะไรมาก็มาก ฟังมาก็มากจากพนักงาน และผู้บริหาร ทั้งการบริหารจัดการที่ดี และการบริหารจัดการPPE ที่ต้องปรับปรุง

จากการเดินทางไปทั่วประเทศทำให้พบว่าปัญหาการบริหารจัดการเรื่อง PPE หลักๆมีดังนี้ คือ ไม่สวมใส่, ใช้ผิดประเภท, ใช้ผิดวิธี, ใช้ที่ชำรุด และ รู้และเข้าใจแต่ไม่ปฏิบัติตาม 

หัวหน้างาน หรือจป.บางคนก็จะโทษว่า พนักงานไม่ดี...สอนแล้วบอกแล้ว ซื้อให้แล้ว แต่ก็ไม่ยอมสวมใส่ แต่จากประสบการณ์ของผมกลับพบว่ามันเป็นเรื่องของการบริหารจัดการเสียมากกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เรื่องของ การปลูกฝังพฤติกรรมความปลอดภัย BBS หรือ Behavior-Based Safety ผู้บริหารโครงการเองรวมถึงหัวหน้างาน หรือจป.เองก็ยังไม่เข้าใจชัดเจนว่า PPE แต่ละชนิดมีการใช้งานอย่างไร และดูแลรักษาอย่างไรอย่างถ่องแท้... และยิ่งทำการเลือก PPE ให้พนักงานเองโดยที่เขาไม่มีส่วนร่วมในการเลือกคงจะเป็นอะไรที่ยากยิ่ง หากอยากที่จะให้เขาสวมใส่...

  ภาพ : อบรม PPE
หัวหน้างานบางคน เจอพนักงานไม่ใส่หน้ากากก็เข้าไปตำหนิเลยว่า "ใส่เดี๋ยวนี้!" แล้วก็เดินจากไปโดยไม่มีการพูดคุยเพื่อค้นหาสาเหตุแฝง เพื่อนำมากำจัดไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ซ้ำอีก (Action to prevent recurrence) 

บางคนดีหน่อยเขาไปบอกว่า "ถ้าไม่ใส่หน้ากากอาจจะเป็นโรคปอดอักเสบได้นะครับ" .... แต่สุดท้ายก็เหมือนเดิมปัญหามันก็ยังเกิดซ้ำไป ซ้ำมา ไม่มีที่สิ้นสุด 

ผู้เชี่ยวชาญด้าน BBS กล่าวไว้ว่า..."ถามให้เขาคิด...ดีกว่าบอกให้เขาทำ" (Asking is better than telling) ธรรมชาติของคน...ไม่ชอบให้ใครมาบอก เคยสังเกตมั้ยครับว่า พ่อแม่ที่สอนลูกให้คิด... "ลูกจะประสบความสำเร็จมากกว่า...ลูกที่พ่อแม่บอกให้ทำ"

ลองถามใจตัวเองดูว่า...กี่ครั้งที่พนักงานไม่มีส่วนร่วมในการเลือก PPE...กี่ครั้งที่เราบอกให้เขาทำ หรือ นับครั้งไม่ถ้วนที่เราต้องเจอกับปัญหาเดิมๆ ลองสังเกตภาพด้านล่างนี้นะครับ ว่าคนขับ อยากจะบอกอะไร...เมื่อเขาอยู่บนถนนสขุมวิทในเวลาที่เลิกงานพอดี



เพื่อนๆหลายคน เข้าใจว่ารถติดมาก...วิ่งได้แค่ 4 กม/ชม เองเหรอ... บางคนสงสัยอีกว่าแกล้งขับช้าหรือเปล่า...เพราะคันหน้าก็อยู่ไกลออก...แต่แท้ที่จริงแล้วคนขับต้องการที่จะบอกว่า น้ำมันกูใกล้จะหมดแล้วเว้ย พวกมึงคิดอะไรกันอยู่! เกรียนจริงๆ...มีน้อยคนนักที่รู้ว่าน้ำมันจะหมด

เมื่อเราด่วนพิพากษา ผลที่ตามมา คือ ความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับเรา และความปลอดภัยของพนักงานทุกคน




ปราชญ์จีนกล่าวไว้ว่า... ความสำเร็จเลยความล้มเหลวไปนิดเดียว...ดังนั้นเมื่อคุณรู้สึกว่าปัญหาด้าน PPE มันมากซะเหลือเกิน ให้คิดเสียว่าคุณใกล้ที่จะจัดการกับมันได้แล้วล่ะ...สวัสดี



www.pramoteo.com

วันศุกร์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ใช้มือถือขณะขับรถ คุย แชท อันตรายมั้ย?



วันนี้นั่งดูรายการคิดเปลี่ยนโลกทางช่อง 5 ผมว่ามีประโยชน์มากแม้จะเป็นเวลาสั้นๆ แต่อาจทำให้ชีวิตเราและผู้อื่นยาวนานมากขึ้น วันนี้รายการได้เชิญคุณเก๋ ชลลดา เมฆราตรี ดาราภาพยนต์ และพิธีกร มาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับการใช้โทรศัพท์มือถือในการขับขี่ ไม่ว่าจะพิมพ์ข้อความ แชท  คุยโทรศัพท์ ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรเพราะคุณเก๋เป็นเหมือนดาราหลายคนที่มีคนติดต่อมาทางโทรศัพท์ทั้งวัน แม้ว่าขณะที่กำลังขับรถก็ตาม
ในรายการมีข้อมูลที่กล่าวถึงในหลายประเทศที่ต้องการจะแก้ปัญหานี้ ยกตัวอย่างเช่น
  • ญี่ปุ่น อิหร่าน โปรตุเกส ห้ามใช้มือถือไม่ว่ากรณีใดๆ รวมถึงสมอลล์ทอล์ค หรือบลูทูธด้วย
  • ออสเตรเลียทำการวิจัยออกมาแล้วว่าการใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ทำให้เกิดอุบัติเหตุมากขึ้น
  • อเมริกากำลังสร้างเครื่องตัดสัญญาณมือถือในรถขณะขับขี่ ให้ไม่สามารถใช้ได้เลย

สำหรับคนเมืองและคงปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชีวิตยุ่งทั้งวัน ขับรถ หัวเข่าหนีบพวงมาลัย มือจับข้าวใสปาก  บีบสิว ถอนขนจมูก ทามาสคารา แต่งหน้า ทาเล็บ ตัดเล็บ ทำผม  ซึ่งล้วนแต่ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ในพริบตาทั้งชายและหญิง
ต้องระลึกไว้ว่า ทำแบบนี้ไมได้มีผลกระทบต่อคุณเพียงคนเดียว แต่คนอื่นๆ เช่น คนกวาดถนน คนทำสวน เด็ก สุนัข สัตว์ต่างๆ รถคนอื่น ก็มีโอกาศได้อุบัติเหตุในครั้งนี้ได้ ส่วนบ้านเราปรับกันเท่านี้ครับ 400 – 1000 บาท มันเทียบไม่ได้เลยกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น


ผศ.นพ.ปกรณ์ เจียระคงมั่น ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทยศาสตร์ ร.พ. รามาธิบดี บอกว่า สมองส่วนหน้ามีความสำคัญในการ บังคับกล้ามเนื้อ จำเส้นทาง ตัดสินใจ แต่ถ้าเราแชทไปด้วยเป็นการเพิ่มงานให้สมองส่วนหน้าให้ทำงานมากขึ้นในเวลาเดียวกัน อะไรที่มันทำมากเกินไปความผิดพลาดมันเกิดขึ้นได้



เมื่อตาไม่มองเราก็ไม่รู้ว่าข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น สมาธิไปอยู่ที่มือถือ


ถึงแม้ว่าตาจะมอง แต่ใจยังจดจ่อกับมือถือ จังหวะแวบไปดูก็มี


คำถามที่เป็นประโยชน์
  • อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราแชท หรือใช้โทรศัพท์มือถือขณะขับรถ หรือรถติดกำลังติด?
  • อะไรจะเกิดขึ้นถ้าเราเบรกไม่ทัน?
  • ถ้าคุณเสียชีวิตไป หรือได้รับบาดเจ็บ หรือชนคนตาย พ่อ แม่ พี่น้อง แฟน คนที่เรารักจะรู้สึกอย่างไร?
วิธีการป้องกัน
  • ถ้าใช้มือถือบ่อย แต่ต้องขับรถ ให้คนอื่นขับแทนจะดีกว่า
  • จอดรถในที่ที่ปลอดภัย แล้วจึงใช้มือถือ
  • มีสติและจดจ่อในการขับขี่ ตามองทางตลอด สมองคิดตัดสินใจในการขับ ไม่ขับเร็ว ช่วยเยอะเลยครับ
ตามหลักการของพฤติกรรมความปลอดภัย behavior based safety บอกไว้ว่าเมื่อใดที่เราละสายตาจากงานที่ทำ ขาดสติ สูญเสียการทรงตัว ผลที่ตามมาคือ "อุบัติเหตุ"  หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านนะครับ
ภาพประกอบจาก:  รายการคิดเปลี่ยนโลก ช่อง 5

ปราโมทย์ โอภาสมงคลชัย

www.pramoteo.com

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

เมื่อใดต้องใส่หน้ากาก


ปัญหาโลกแตกที่นายจ้างและลูกจ้างเถียงกันก็คือว่า "เมื่อใดต้องใส่หน้ากาก?" นายจ้าง หรือหัวหน้างาน หรือ จป.บางคนบอกว่าสารเคมีมันเข้มข้นไม่เกินมาตรฐานไม่ต้องใส่ แต่พอนายจ้างหรือแขกมาเยี่ยมชมโรงงานก็มักจะมีให้ใส่ครบ และตัวนายจ้าง หรือผู้บริหารบางคนเองก็มักจะใช้รุ่นที่มีประสิทธิภาพที่ดีกว่าลูกจ้างที่ทำงานที่มีความเสี่ยงมากว่า...ถ้าเราเป็นลูกจ้างเราจะคิดอย่างไร ต้องเกิดการเปรียบเทียบแน่นอน แล้วความสามัคคีในองค์มันจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
เรามาดูที่ OSHA (Occupational Safety and Health Administration) กำหนดไว้ดีกว่า เพื่อใช้ในการตัดสิน ว่าลูกจ้างจำเป็นต้องสวมใส่หน้ากาก หรืออุปกรณ์ปกป้องระบบทางเดินหายใจให้เหมาะสมเมื่อใด OSHA กล่าวไว้ว่า เมื่อต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่มีระดับออกซิเจนที่ไม่เพียงพอ หรือที่ที่มีอันตรายจากฝุ่น ควัน ละออง ฟูม ก๊าซ ไอระเหย หรือสเปรย์ สารอันตรายเหล่านี้อาจเป็นสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็ง โรคปอด หรือโรคอื่นๆ หรือทำให้เสียชีวิตได้ เมื่อการป้องกันเชิงวิศวกรรมไม่เพียงพอที่จะลดหรือ กำจัดสารพิษปนเปื้อนในบรรยากาศการทำงานออกไปได้ หน้ากากจึงเป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้


ส่วนหน้ากากชนิดที่มีการส่งผ่านอากาศให้หายใจ (Supplied-air respirator) สามารถนำมาใช้ได้ในสภาวะที่ขาดออกซิเจน นอกจากนี้ในภาวะที่ขาดออกซิเจน หรือในสภาวะอันตรายอื่นๆในบรรยากาศอันตราย อัตราการเต้นถี่ขึ้นของหัวใจและอัตราการหายใจจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเกิดขึ้นได้ง่าย ซึ่งนำมาสู่ความสูญเสียหรือหายนะ ถ้าเกิดขึ้นในขณะที่ลูกจ้างกำลังทำงานที่เสี่ยงอันตราย (At risk) หรือ ปีนบันได ทำงานในที่สูง ที่อับอากาศ หรืองานใดๆที่เป็นอันตราย ยิ่งจะมีความเสี่ยงสูงมากขึ้นไปอีก
ลูกจ้างจำเป็นต้องสวมหน้ากาก เมื่อการป้องกันเชิงวิศวกรรมไม่เพียงพอ (Inadequate of engineering control) ส่วนวิธีการที่จะควบคุมบรรยากาศที่ปนเปื้อนสามารถทำได้โดยการปกคลุม ระบายอากาศ หรือจำกัดพื้นที่บริเวณนั้น หรือ กระทำโดยให้ระดับความเป็นพิษของสารนั้นลดลง
หน้ากากมีข้อจำกัด (Respirator limitation) และไม่สามารถที่จะใช้แทนที่ได้ดีกว่าการป้องการเชิงวิศวกรรม (Engineering control) หรือควบคุมที่การทำงาน (Operation control) บางครั้งมันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะใช้สิ่งเหล่านี้ในการควบคุมหรือลดประมาณสารปนเปื้อนให้ต่ำกว่าค่ามาตรฐานด้านสุขภาพในการทำงาน (Occupational Exposure Limited) เช่น ระหว่างทำการซ่อมบำรุง ภาวะฉุกเฉิน หรือในขณะที่การป้องกันเชิงวิศวกรรมกำลังถูกติดตั้ง หน้ากากอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในเวลานี้
เมื่อการใช้หน้ากากได้ถูกระบุจำเพาะไว้ในวิธีการทำงาน (Operating instruction) การเลือกใช้อย่างมีประสิทธิภาพจึงเป็นสิ่งจำเป็นดังต่อไปนี้
  • เขียนขั้นตอนจำเพาะในการทำงาน
  • การประเมินผลของรายการปฏิบัติ
  • การเลือกหน้ากากที่เหมาะสม ที่ได้รับรองมาตรฐานจาก NIOSH
  • การอบรม
  • การทดสอบความกระชับของหน้ากาก
  • การตรวจสอบ การทำความสะอาด การบำรุงรักษา และการจัดเก็บ
  • การประเมินทางการแพทย์
  • การเฝ้าระวังในการทำงาน
  • คุณภาพมาตรฐานของอากาศ



สรุป
  • การสวมใส่หน้ากากไม่ได้หมายความว่า ต้องสวมใส่เมื่อระดับความเข้มข้นของสารปนเปื้อนในอากาศสูงกว่าค่ามาตรฐานที่กำหนดไว้เท่านั้น เพราะร่างกายแต่ละคนมีความต้านทานไม่เท่ากัน
  • การป้องกันเชิงวิศวกรรมมีประสิทธิภาพที่ดีที่สุด และต้องเป็นตัวเลือกแรกในการป้องกัน
  • การใช้หน้ากากทุกครั้งต้องปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพราะถ้าใช้ผิดประเภท ผิดวิธี อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บ เป็นโรค หรือเสียชีวิตได้
  • การจัดทำโปรแกรมปกป้องระบบทางเดินหายใจ และอบรมเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สวมใส่หน้ากาก และผู้เกี่ยวข้อง
เขียนโดย
ปราโมทย์ โอภาสมงคลชัย
ผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา และวิทยากรด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย


อ้างอิง




วันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

อันตรายจากงานในโรงหลอม และ การหลอมโลหะ




ภาพ : www.nezavisne.com


คนงานหลายคนในโรงหลอมสัมผัสมลภาวะทางอากาศในการทำงาน เช่น. ควัน, ฝุ่น, SPM, RSPM, ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์, ซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ออกไซด์ของไนโตรเจน, ไฮโดรคาร์บอน และ โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว, แคดเมียม, โครเมียม, สารหนุ และนิเกิ้ล การสัมผัสสารปนเปื้อนเหล่านี้เป็นระยะเวลาที่ยาวย่อมนานส่งผลเสียต่อสุขภาพหลายอย่าง เช่น โลหะหนัก ทำให้เกิดอาการเป็นพิษได้ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง

การแพร่กระจายของก๊าซและฝุ่นบางชนิดอาจเป็นสาเหตุอันดับแรกของอันตรายต่อสุขภาพของคนงาน (Occupational health hazards)ในอุตสาหกรรมการหลอมโลหะและพื้นที่รอบๆ ทำให้เกิดโรคต่างๆ เช่น โรคฝุ่นจับปอด (Black lung), ไข้จากโลหะ, โรคปอดฝุ่นหินทราย (silicosis), โรคปอดจากการประกอบอาชีพ(pneumoconiosis) เป็นต้น
ภาพ : www.alha.org

ทั้งหมดนี้เป็นอนุภาคที่สามารถหายใจเข้าไปได้ อันตรายบางอย่างโดยทั่วไปเกิดจากการสัมผัสกับร่างกายและมีอันตรายต่อสุขภาพดังต่อไปนี้
  • ระคายเคืองตา
  • ปวดศีรษะ
  • ระคายเคืองคอ และจมูก
  • ระคายเคืองระบบทางเดินหายใจ
  • ไฮโดรเจนซัลไฟด์, แอมโมเนีย และเมอแคปเทนส์ สามารถทำให้เกิดการความรำคาญในการได้กลิ่นแม้ว่าจะมีความเข้มข้นต่ำ
  • อุณภูมิที่สูงขึ้น ทำให้เกิดความเมื่อยล้า และสูญเสียน้ำในร่างกายได้
  • อาการเรื้อรังของโรคปอดอักเสบ เช่น หลอดลมอักเสบเรื้อรัง, หอบหืด เกิดจากการหายใจก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์, ไนโตรเจนออกไซด์ และโฟโตเคมีคัลออกซิแดนท์ เข้าไปในระดับที่ความเข้มข้นสูง
  • คาร์บอนมอนอกไซด์ สามารถเข้าสู่ฮีโมโกบินในเลือดได้โดยง่าย จึงทำให้เกิดความทรมานต่อหัวใจและปอด
  • อนุภาคของฝุ่นทำให้เกิดโรคปอดที่เกิดจากฝุ่น ทราย, แอสเบสโซซิส ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของอนุภาค และเส้นใย
  • สารบางตัวเป็นสารก่อมะเร็ง เช่น PAH’s, Cr(VI) และ แคดเมียม
  • ไฮโดรเจนฟูลออไรค์ ทำให้เกิดโรคที่กระดูก (fluorosis) และเกิดรอยที่ฟันได้ (mottling of teeth)
  • โลหะหนัก เช่น ตะกั่ว, แคดเมียม, ปรอท, โครเมียม, นิเกิ้ล, แมงกานีส สามารถเข้าสู่ร่างกายโดยการหายใจ, ดูดซึมทางผิวหนัง, หรือการกลืนกินโดยผ่านทางห่วงโซ่อาหาร เหล่านี้เป็นสาเหตุของการเกิดพิษอย่างเฉียบพลัน และเรื้อรังได้
จำไว้ว่า : งานหลอมโลหะอันตรายต่อสุขภาพมากถ้าขาดมาตรการป้องกันที่ดีพอ

เรียบเรียงโดย
ปราโมทย์ โอภาสมงคลชัย
ผู้เชี่ยวชาญ ที่ปรึกษา และวิทยากรด้านความปลอดภัย อาชีวอนามัย


References :
ภาพ
เนื้อหา