วันก่อน ผมมีโอกาสได้ดูทีวี เห็นภาพชาวบ้านหลายคน ร้องห่มร้องไห้ โวยวายบ้างก็มี เนื่องจากไม่ได้เงิน 5,000 บาทจากรัฐบาล ผมเห็นแล้วผมรู้สึกว่าเขาคงจะเดือดร้อนมากจริงๆ ที่ไม่ได้รับเงินจำนวนนี้
แต่จริงๆแล้วไม่ใช่เพียงแค่เขาเหล่านั้นเท่านั้น ที่ไม่ได้รับเงิน เพราะยังมีคนจำนวนมากที่ไม่ได้รับเงินเช่นเดียวกัน
อาการที่เราเห็นดังกล่าว เกิดจากความเครียดนั่นเอง คนเราถ้าปกติดี มีความสุข ก็จะไม่ถูกความเครียดเข้าครอบงำ และจะไม่แสดงออกในรูปแบบของ ความโกรธ ความโมโห และ ด่ากราดกัน
สิ่งที่เราต้องรู้อีกอย่างก็คือว่า ตอนนี้คนที่เครียด ไม่ใช่แค่เราเท่านั้น ไม่ใช่แค่คนในประเทศไทย แต่คนทั่วโลก ก็ล้วนแต่เครียดกันทั้งนั้น
เครียดกันทั้งโลก
ภาพ: Pekky_Marco ใน Pixabay
เนื่องจากชีวิตที่เป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ปกติ จากที่เดินทางไปไหนมาไหนก็ไปได้ ตอนนี้ก็ไปไม่ได้ และที่มากกว่านั้นก็คือ คนที่ไม่มีเงิน หาเช้ากินค่ำนั้น น่าเป็นห่วงที่สุด เพราะไม่มีเงินเก็บ ถ้าเขามีเงินเก็บเขาก็จะไม่เดือดร้อนอะไรมากมายนัก
แต่มันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้สิ่งที่จะทำให้เราสบายใจ ทำให้เราอยู่ได้ ก็คือ "การตั้งสติ"
สติ คือ การรู้สึกตัว รู้ตัวตอนนี้รู้สึกอย่างไร เช่นรู้สึกกังวล ไม่สบายใจ โกรธ เศร้า เหงา
อันดับแรก ต้องกลับมา "รู้สึกตัว" และ อย่าไปจมกับมัน ให้ระลึกเสมอว่า "ในวิกฤต ย่อมมีโอกาส" ซ่อนอยู่เสมอ
ทำไมหลายคน รวยเอารวยเอาในตอนนี้ และทำไมอีกหลายๆคน ทำไมจนเอาจนเอาๆ ทั้งๆที่อยู่สถานการณ์เดียวกัน ก็เพราะว่า เขามีวิธีการในการแก้ปัญหาแตกต่างกัน
ดังนั้น ต้องกลับมารู้สึกตัว ยอมรับ และ ทำความเข้าใจว่า สิ่งที่เราเคยทำได้ในอดีต แล้วก่อให้เกิดรายได้ ก่อให้เกิดความสุขในชีวิต ตอนนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้วนะ ให้ "วาง" ไปก่อน
แล้วถามตัวเองว่า เรามีทักษะอะไรบ้าง ที่มีอยู่ ที่สามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ และหาเงินได้ในสถานการณ์ตอนนี้
ภาพ : Stevepb ใน Pixabay
จงอย่าคิดเรื่องรายได้ ว่ามันจะได้เท่ากับรายได้ก่อนหน้านั้น เพราะเป็นไปได้ยาก แต่ถ้าตั้งใจทำจริงๆในวิกฤตแบบนี้ เราอาจจะมีอาชีพใหม่ๆและกลายเป็นอาชีพหลักได้เลยทีเดียว
เพื่อนของผมคนหนึ่ง เธอขายเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ รายได้ดีมาก แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้เลย เพราะว่าไม่มีคนออกมาเดิน ผู้คนไม่ใช้จ่ายเงิน แต่เธอเองโดยพื้นฐานชอบทำอาหารอยู่แล้ว ก็เลยเปลี่ยนทักษะที่ตัวเองชอบ ให้กลายเป็นเงิน โดย"ทำอาหารตามสั่งขาย"
วันหนึ่งขายได้ประมาณ 200 กว่ากล่อง ก็ทำให้เธอยิ้มได้ เลี้ยงทุกคนในครอบครัวได้ ไปถามเธอว่า ทำไมจึงทำได้ ?
เธอตอบว่า ก็ต้องปรับเปลี่ยนตัวเองใหม่ ลืมความสำเร็จเดิมๆ มองหาสิ่งใหม่ๆทำ
อันดับแรก ต้องมีเงินเลี้ยงปากท้องตนเอง และทุกคนในบ้าน เอาแค่ว่า ไม่อดตายก็พอแล้ว รวมถึง พยายามมองมุมมองในแง่บวก ที่สามารถจะเกิดขึ้นได้ แล้วลงมือทำ
คนส่วนใหญ่ที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ว่าไม่ได้ลงมือทำ แต่เขาเหล่านั้น "ลงมือทำไม่สุดความสามารถ" ต่างหาก ก็เลยไม่ประสบความสำเร็จ
ถ้าจะทำอะไรแล้วก็ต้องทำจริงๆจังๆ ความอดทนเป็นเรื่องที่สำคัญมาก และต้องมองโลกตามความเป็นจริง รวมถึงดูแลสุขภาพกาย สุขภาพใจให้ดี
ต่อให้ยุ่งแค่ไหน ก็ต้องออกกำลังกาย เพราะการออกกำลังกาย ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ฮอร์โมนต่างๆในร่างกายทำงานได้ปกติ
ภาพ : Sasint ใน Pixabay
ไม่ลืมไปว่า ใจกับกาย มันอยู่ด้วยกัน ใจทุกข์กายก็ทุกข์ด้วย กายทุกข์ ใจก็ทุกข์เช่นเดียวกัน
ต้องกลับมา "ยอมรับความจริง" เพราะมันไม่ใช่มีเพียงเราเท่านั้นที่เดือดร้อน เขาเดือดร้อนกันทั้งโลก
"การบ่น" ไม่ได้ทำให้อะไรดีขึ้น มีแต่คนเขาจะมองว่า เราไม่สามารถแก้ปัญหาเป็นระบบ หากเราเอาแต่รอรับการช่วยเหลือจากคนอื่น โดยไม่คิดจะช่วยเหลือตัวเอง คิดหรือว่าคนที่ช่วยเหลือเราจะข่วยเหลือเราได้ตลอดไป
แม้กระทั่งพ่อแม่เราเอง ก็ยังดูแลเราตลอดไปไม่ได้เลย
พระพุทธเจ้าสอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ทุกครั้งที่เกิดปัญหาให้กลับมาแก้ที่ตนเอง ปัญหามันจึงจะจบ อย่าไปโทษผู้อื่น
มนุษย์แตกต่างสัตว์เดรัจฉาน ตรงที่มนุษย์มีสติ
ดังนั้น เราไม่ใช่สัตว์เดรัจฉาน เรามีสติ เรามีความคิด ก็ต้องเอาสติมาใช้ เพื่อให้ดำรงชีวิตต่อไปได้ "หอยมันไม่มีตีน มันยังทำกินได้เลย" ปู่เย็นเคยบอกเอาไว้
ให้กำลังใจทุกคนครับ ถ้าจะลงมือทำ ก็ทำให้มันสุดๆไปเลย แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร ตั้งสติให้ดี ครับ
ปราโมทย์โอภาสมงคลชัย
ท่านใดสนใจหนังสือที่ผมเขียน
สามารถสั่งได้ที่ www.pramoteo.com หรือ LINE : @thesafetycoach
หรือ Facebook : The Safety Coach
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น